ตำรวจCIB​ รวบขบวนการหลอกโอนเงินผ่านไลน์อ้างชื่อเพื่อนลูกสาวผู้เสียหาย สูญเงินกว่า 2 แสนบาท

496

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ​พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน​ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป.,พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พงค์ปณต ชูแก้ว รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป.,พ.ต.ท.สิทธิเกียรติ ศรีจันทร์, พ.ต.ท.วาทิต จิตรจันทึก, พ.ต.ท.อภิเดช อธิคมสัญญา, พ.ต.ท.ศรัณย์ ศรีพักตร์, พ.ต.ท.พิทยา ธนาวุฒิ รอง ผกก.5 บก.ป.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ต.กิตติบดินทร์ กิมเซียะ สว.กก.5 บก.ป., ร.ต.ต.เรวัติ ห้วยหงษ์ทอง รอง สว.(ป)กก.5 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป.

ร่วมกันจับกุม นายกฤษฎาฯ อายุ 23 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ที่ จ.822/2568
ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ สนับสนุนฉ้อโกง, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน และยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากของตน ฯ”สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านในพื้นที่ หมู่ 1 ต.ห้วยม่วง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2568 ผู้เสียหายได้พูดคุยกับคนร้ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ คนร้ายอ้างว่า เป็นเพื่อนของนางสาวบุญญิสาฯ บุตรสาวของผู้เสียหาย แจ้งว่า นางสาวบุญญิสาฯ ได้ประกอบกิจการขายของออนไลน์และมียอดเงินที่สามารถถอนได้ 88,395 เหรียญสหรัฐ ประมาณ 3,056,831.69 บาท แต่ยังไม่สามารถอนเงินได้ เนื่องจากจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 8,839.5 เหรียญสหรัฐ ประมาณ 305,647.81บาท

คนร้ายแจ้งผู้เสียหายว่า ตนเคยทำธุรกิจนี้มาก่อน เมื่อเสียเงินภาษีแล้วจะสามารถได้รับเงินจากร้านค้าจริง จากนั้นคนร้ายส่งข้อมูลติดต่อเพื่อจ่ายภาษี โดยส่งข้อมูลติดต่อเป็นบัญชีไลน์ผู้เสียหาย หลงเชื่อจึงติดต่อส่งข้อความไป เมื่อสอบถามเกี่ยวกับการเปิดกิจการขายของออนไลน์ เพื่อขอรับเงินรายได้ ก็รับแจ้งตรงกันว่า มียอดเงินที่สามารถถอนได้ 88,395 เหรียญสหรัฐ ประมาณ 3,056,831.69 บาท แต่ยังไม่สามารถอนเงินได้ เนื่องจากจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 8,839.5 เหรียญสหรัฐประมาณ 305,647.81 บาท แต่ผู้เสียหายไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าภาษีตามยอดเงิน 305,647.81 บาท คนร้าย จึงเสนอที่จะช่วยจ่ายให้ 100,000 บาท โดยจะโอนให้หลังจากที่ผู้เสียหาย ได้โอนส่วนของผู้เสียหาย ไปแล้วผู้เสียหายหลงเชื่อจึงถูกหลอกให้โอนเงิน เป็นเงิน 205,647.81บาท ไปบัญชีธนาคารนายกฤษฎาฯ

หลังโอนเงิน ผู้เสียหายได้ส่งสลิปให้คนร้ายดู คนร้ายจึงส่งภาพสลิปโอนเงิน ว่าได้โอนเงินช่วยผู้เสียหาย 100,000 บาท ให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชันไลน์ ต่อมาคนร้ายหลอกผู้เสียหาย ว่าจะต้องเสียเงินภาษีอีก 611,366.20 บาท ผู้เสียหายจึงรู้ว่าถูกหลอกให้โอนเงิน จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งว่า นายกฤษฎาฯ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ได้ปรากฏตัวอยู่บริเวณสถานที่จับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมพบ นายกฤษฎาฯ ได้หลบหนีมาทำงานอยู่ที่สวนผลในพื้นที่ ต.ห้วยม่วง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ชุดจับกุมจึงได้เข้าไปตรวจสอบยังพื้นที่ดังกล่าว พบว่า นายกฤษฎาฯ ปรากฏตัวและยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านในพื้นที่ หมู่ 1 ต.ห้วยม่วง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงหมายจับให้ผู้ต้องหาทราบ ผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับฉบับนี้จริง และไม่เคยถูกจับกุมในคดีนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งว่าต้องถูกจับกุม พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับให้ทราบและแจ้งสิทธิตามกฎหมายข้างต้นให้ทราบ นายกฤษฎาฯ ได้รับทราบข้อความทราบข้อกล่าวหาพร้อมทั้งเข้าใจสิทธิของตนเองโดยตลอดแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปทำการบันทึกจับกุม จากนั้นนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง​ ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”