ณ เชิงเขาในผืนป่าดิบชื้นของภาคใต้ อันชุ่มฉ่ำด้วยสายหมอกและสายฝน มีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซ่อนตัวอย่างเงียบงามอยู่ท่ามกลางเฟิน มอส และไม้ใหญ่ที่ทอดเงาทาบพื้นดิน มันไม่ได้ส่งเสียงเรียกร้อง ไม่เปล่งแสงสีสะดุดตา แต่กลับดึงดูดใจผู้ค้นพบด้วยความลึกลับและงดงามในแบบของมันเอง—“พรหมมาสตร์” (Paraboea burttii) พืชล้มลุกขนาดเล็กในวงศ์ชาฤๅษี ที่พบได้เพียงแห่งเดียวในโลก คือที่ประเทศไทยเท่านั้น

“พรหมมาสตร์” คือพืชถิ่นเดียวของไทย (endemic) ที่ไม่สามารถพบได้ในธรรมชาติของประเทศอื่นใด
มันคือบทกวีที่ธรรมชาติแต่งขึ้น และเลือกจะเผยแพร่เพียงฉบับเดียว
กำเนิดแห่งนามอันศักดิ์สิทธิ์
ชื่อไทยของพืชชนิดนี้ “พรหมมาสตร์” นั้นมีที่มาไม่ธรรมดา มันถูกตั้งตาม “ศรของพระพรหม” หนึ่งในศาสตราวุธในตำนานรามเกียรติ์ ที่พระรามใช้ปราบเหล่าอสูร ชื่อที่ให้ทั้งความขลัง ความลุ่มลึก และความหมายที่โยงใยถึงจินตนาการของวรรณคดีไทยอันทรงคุณค่า
แม้จะมีขนาดเพียงไม่เกิน 20 เซนติเมตร พรหมมาสตร์กลับงดงามน่าหลงใหล ใบเรียงเป็นคู่ตรงข้ามตั้งฉาก แผ่เรียงตัวแนบชิด รูปไข่ ปลายมน ขอบหยักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบด้านบนมีขนสั้นนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ส่วนด้านล่างปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลอมส้มหนาแน่น ให้ความรู้สึกอุ่นและสดใสแม้อยู่ใต้ร่มไม้
ความงามที่เปล่งประกายจากรายละเอียด
ดอกของพรหมมาสตร์ซ่อนตัวอยู่ตามซอกใบ ออกเป็นช่อคล้ายซี่ร่ม กลีบเลี้ยงม้วนปลาย ส่วนกลีบดอกแบ่งเป็นสองซีกชัดเจน ซีกบนมี 2 แฉก ซีกล่างมี 3 แฉก ด้านในซ่อนเกสรเพศผู้เพียง 2 อัน ฝักของมันเรียบตรง ไม่บิดเป็นเกลียวเหมือนพืชในวงศ์เดียวกัน กลับให้ความรู้สึกสงบ เย็น และเรียบง่าย—ดั่งพืชที่ใช้ชีวิตเงียบๆ แต่มั่นคง

ชื่อวิทยาศาสตร์ที่มากกว่าคำจำกัดความ
ชื่อทางพฤกษศาสตร์ Paraboea burttii ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Brian Laurence Burtt (1913–2008) หรือที่รู้จักกันในแวดวงนักพฤกษศาสตร์นานาชาติว่า “Bill Burtt” นักวิจัยชาวอังกฤษแห่งสวนพฤกษศาสตร์เอดินบะระ ผู้บุกเบิกการศึกษาพืชในวงศ์ชาฤๅษีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลึกซึ้ง
งานของเขาไม่เพียงแต่ค้นพบสายพันธุ์ใหม่ แต่ยังปูรากฐานให้การศึกษาและอนุรักษ์พืชเฉพาะถิ่นของไทยเติบโตอย่างเป็นระบบ
จากเขาหลวง…สู่แผ่นกระดาษวิชาการ
“พรหมมาสตร์” ถูกเก็บเป็นตัวอย่างต้นแบบ (type specimen) หมายเลข Bunnak 710 โดย นายบุญนาค สังขจันทร์ อดีตเจ้าหน้าที่หอพรรณไม้แห่งกรมป่าไม้ ผู้เชี่ยวชาญการอาบน้ำยาพรรณไม้ ซึ่งเป็นผู้บันทึกชีวิตของพืชชนิดนี้จากอำเภอคีรีวง ในอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2500
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา พรหมมาสตร์ได้กลายเป็นบทสำคัญบทหนึ่งในงานพฤกษศาสตร์ของไทยและโลก

เสียงสะท้อนจากนักวิทยาศาสตร์ไทย
การระบุชื่อไทย “พรหมมาสตร์” และการให้ข้อมูลพฤกษศาสตร์เชิงลึก เกิดขึ้นจากความร่วมมือกับ ดร.ปราโมทย์ ไตรบุญ ผู้เชี่ยวชาญพืชวงศ์ชาฤๅษีของไทย ผู้ซึ่งอุทิศตนให้กับการสำรวจ พรรณนา และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพืชหายากของไทยอย่างจริงจังและเป็นระบบ
“การอนุรักษ์เริ่มจากความเข้าใจ หากไม่รู้จัก ก็ไม่มีทางหวงแหน” ดร.ปราโมทย์ ไตรบุญ
บทเรียนจากสิ่งมีชีวิตเงียบงาม
พรหมมาสตร์อาจไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ หรือสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจได้โดยตรง แต่การมีอยู่ของมัน คือบทพิสูจน์ความหลากหลายทางชีวภาพที่ลึกซึ้งของผืนป่าใต้ไทย คือเครื่องเตือนใจให้เราระลึกว่า บางสิ่งล้ำค่าไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือโด่งดัง
ในวันที่โลกเผชิญการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาอย่างเร่งรัด และการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง พืชเฉพาะถิ่นอย่างพรหมมาสตร์ คือเส้นด้ายเส้นสุดท้ายที่ร้อยโยงสายใยของระบบนิเวศเข้าไว้ด้วยกัน

ท้ายที่สุด…เราเหลืออะไรไว้ให้โลก?
หากวันหนึ่งพรหมมาสตร์สูญพันธุ์ไป มันจะไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย ไม่มีเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ ไม่มีสวนในเมืองอื่น ไม่มีการเพาะเลี้ยงในห้องทดลองที่จะทำให้มันคืนกลับสู่ธรรมชาติได้ดังเดิม
ดังนั้น การอนุรักษ์พืชถิ่นเดียวของไทย ไม่ใช่เพียงเรื่องของนักวิชาการ แต่คือภารกิจของคนทั้งชาติ—เพื่อให้ “อัญมณีแห่งป่าใต้” ยังคงส่องประกายเงียบงามอยู่ในร่มไม้ ใต้สายหมอกแห่งเขาหลวง ไปอีกนานแสนนาน

