“ลีดเดอร์ชิพโพลล์ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้ง ระหว่างไทย–กัมพูชา”

439

ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียฯ

วันที่ 27 ก.ค.2568 ลีดเดอร์ชิพโพลล์ (Leadership poll) วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,500 คน ผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคม 2568 ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก TikTok X และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยคิดเป็น ร้อยละ 31.32 รองลงมาคือติดตามผ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ ร้อยละ 21.95 และโทรทัศน์ ร้อยละ 20.04 ขณะที่ ยูทูบหรือคลิปวิดีโอ คิดเป็น ร้อยละ 15.91 และกลุ่มไลน์หรือการส่งต่อข้อความ ร้อยละ 8.86 สำหรับช่องทางวิทยุและสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ที่ ร้อยละ 0.70 เท่ากัน ส่วนผู้ที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารเลยมีสัดส่วน ร้อยละ 0.40 และผ่านช่องทางอื่น ๆ ร้อยละ 0.10ในประเด็นด้านความรู้สึกต่อสถานการณ์ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความกังวลในระดับมากที่สุด ต่อสถานการณ์ความรุนแรงจากการปะทะทางทหารระหว่างไทย–กัมพูชา คิดเป็น ร้อยละ 39.47 รองลงมาคือระดับค่อนข้างกังวลมาก ร้อยละ 34.13

ขณะที่ประชาชนบางส่วนกังวลในระดับปานกลาง ร้อยละ 19.60 กลุ่มที่กังวลน้อยมี ร้อยละ 3.80 และไม่กังวลเลย ร้อยละ 3.00 สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางที่รัฐบาลควรดำเนินการเพื่อลดความสูญเสียจากสถานการณ์ พบว่า ร้อยละ 40.93ของประชาชนเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งเจรจาสันติภาพและหยุดยิงทันที รองลงมาคือการเพิ่มมาตรการทางทหาร ร้อยละ 35.13 และ

การขอความช่วยเหลือจากอาเซียนหรือ UN ร้อยละ 18.73 ขณะที่ ร้อยละ 5.20 เสนอแนวทางอื่น ๆในด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 55.80 เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “หนักมาก” รองลงมาคือ “ปานกลาง” ร้อยละ 34.47 ขณะที่ ร้อยละ 8.87 เห็นว่าได้รับผลกระทบน้อย และร้อยละ 0.87 เห็นว่าไม่มีผลกระทบเลย ร้อยละ 51.93 ของประชาชนที่ตอบแบบสำรวจ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดันให้รัฐบาล หาทางออกอย่างสันติ รองลงมาคือกลุ่มที่เห็นด้วยว่าภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดัน ให้รัฐบาลหาทางออกอย่างสันติ คิดเป็นร้อยละ 35.80 ขณะที่ประชาชนกว่าร้อยละ 10.73 ระบุว่าไม่เห็นด้วยต่อการที่ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดันให้รัฐบาลหาทางออกครั้งนี้ และยังมีประชาชนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดันให้รัฐบาลหาทางออกครั้งนี้ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1.53

ประเด็นสุดท้ายกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อและขยายวงกว้าง ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควรเดินหน้าทางการทูตและเจรจาเพื่อรับมือกับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ โดยคิดเป็นร้อยละ 36.13 รองลงมาคือรัฐบาลควรมีการยกระดับการปฏิบัติการทางทหารคิดเป็นร้อยละ 32.40 มีประชาชนอีกกว่าร้อยละ 28.40 เห็นว่ารัฐบาลควรประสานกับพันธมิตรและนานาชาติ และอีกร้อยละ 3.07 เห็นว่ารัฐบาลควรใช้แนวทางอื่นในการรับมือต่อสถานการณ์ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยมีความตื่นตัวและจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเสนอแนะแนวทางเพื่อให้รัฐบาลสามารถจัดการความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหาย และสร้างฉันทามติร่วมในสังคมอย่างยั่งยืน

โดยเสนอให้รัฐบาลมีความชัดเจน โปร่งใสและเด็ดขาดในการดำเนินการ พร้อมทั้งเน้นการรักษาชีวิตประชาชน การยุติความรุนแรง โดยเร็ว รวมถึงให้รัฐบาลใช้แนวทางทางการทูตควบคู่กับการจัดการความมั่นคงตามยุทธวิธีทางทหารเพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดจากสถานการณ์ครั้งนี้ลีดเดอร์ชิพโพลล์วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต