ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และชุด ศปอส.ตร. ร่วมแถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหาเปิดบริษัทนอมีนีให้บุคคลต่างด้าว จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายจัว สุย สัญชาติจีน นางสาวปทิตตา นันทิชาชินภัค นายญาณเมธีหรือภัทรชัย แสนสนุก นายวิชัยททวยหาญ นางสาวพรศรี เจียมบุตร ทั้งหมดสัญชาติไทย
พลตำรวจเอกสุรเชษฐกล่าวว่าสืบเนื่องจากศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการร้องเรียนให้ทำการตรวจสอบ กรณีที่มีบุคคลต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยมีการนำคนไทยเข้ามาเป็นหุ้นส่วน เพื่อให้สามารถทำการจัดตั้งบริษัทจำกัดได้ โดยไม่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับ แต่คนไทยที่เป็นหุ้นส่วนดังกล่าว กลับไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการร่วมลงทุน ดูแลบริหาร หรือได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ซึ่งการกระทำนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อคนไทยและเศรษฐกิจในประเทศ อีกทั้งเพื่อเป็นการตรวจสอบบุคคลต่างด้าว ที่เข้ามาพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย ตนเองจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ชุดปฏิบัติการที่ 14 และ 19 เข้าตรวจสอบ
ซึ่งต่อมาตำรวจ ศปอรส.ตร.ได้ทำการตรวจสอบบริษัทจิน เฮา ไท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดตั้งอยู่ที่ 78/4 ถ.ประชาราษฏร์บำเพ็ญ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ซึ่งดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลไม้อบแห้ง รังนก และหมอนยางพารา ซึ่งจากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ได้มีการติดต่อว่าจ้างคนไทยให้มาร่วมจดทะเบียนและถือหุ้นแทนในการจัดตั้งบริษัท แต่กรรมการบริษัทผู้ถือหุ้นที่เป็นคนไทย ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารและไม่ได้รับผลประโยชน์หรือกำไรที่มาจากการประกอบธุรกิจดังกล่าว อีกทั้งเงินทุนในการเปิดกิจการ ก็เป็นของกรรมการบริษัทที่เป็นคนจีนทั้งสิ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำในลักษณะ “นอมินี” โดยถือหุ้นแทนให้กับบุคคลต่างด้าว อันเป็นความผิดตาม มาตรา 36 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 แสนบาท – 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
จึงรวบรวมหลักฐาน ขอหมายจับศาลอาญา จับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจำนวน2 ราย คือนายจัว สุย สัญชาติจีน ในข้อหา”เป็นคนต่างด้าว ยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมกันประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยคนต่างด้าวนั้นมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าวหรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่ผู้เดียวหรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในบริษัทจำกัด เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจ โดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การประกบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542”
ส่วนนางสาวปทิตตา นันทิชาชินภัค ผู้ต้องหาจามหมายจับศาลอาญา และอีก 3 รายคือ นายญาณเมธีหรือภัทรชัย แสนสนุก นายวิชัยททวยหาญ นางสาวพรศรี เจียมบุตร เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา “เป็นผู้มีสัญชาติไทยให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมกันประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยคนต่างด้าวนั้นมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าวหรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่ผู้เดียว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในบริษัทจำกัด เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจ โดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542”
ในขณะเดียวกัน พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวผลการกวาดล้างผู้ต้องหาหมายจับคดีคอลเซ็นเตอร์ ครั้งที่ 24 และ คดีโรแมนซ์สแกม หรือ แสร้งรักออนไลน์ ครั้งที่ 7
จากการปฏิบัติงาน สามารถช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ แก๊งโรแมนซ์สแกม โดยอายัดเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงโอนไปยังบัญชีของกลุ่มคนร้าย ไม่ให้สามารถถอนออกจากบัญชีได้ ก่อนจะนำเงินคืนให้ผู้เสียหาย 2 ราย คือ 1. ผู้เสียหายจากคดีคอลเซ็นเตอร์ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่สภ.บางปู ซึ่งถูกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย จำนวน 400,165 บาท ทาง เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินช่วยผู้เสียหายไว้ได้ 190,000 บาท และ 2.ผู้เสียหายจากคดีแก๊งโรแมนซ์สแกม ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.เมืองขอนแก่น ซึ่งถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย 256,000 บาท ทางเจ้าหน้าที่ สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้เต็มจำนวน รวมเป็นเงินจำนวน 446,000 บาท
ด้านนายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ รองโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมกับธนาคาร ได้ร่วมกันมอบเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 2 ราย พร้อม เปิดเผยว่าขณะนี้ สำนักงาน ปปง., สถาบันการเงิน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการบูรณาการ การทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะ ตำรวจที่ได้มีการจับกุมคนร้ายทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายกลุ่ม แต่มิจฉาชีพ ก็ยังพยายามหลบหนีโดยใช้การหลอกลวงที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น จึงขอแจ้งเตือนประชาชนให้รับฟังการประชาสัมพันธ์ จากหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ทั้งนี้กรณีพบว่าถูกหลอกลวง ให้รีบโทรแจ้งที่สายด่วนของ สำนักงานปปง. เบอร์ 1710 ได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ขณะที่ภาพรวม ผลการจับกุมในช่วงเวลาตั้งแต่ วันที่ 10 – 16 พ.ย.61 เจ้าหน้าที่ สามารถจับกุมผู้ต้องหา คดีโรแมนซ์สแกม ได้ 20 ราย คดีคอลเซ็นเตอร์ 4 ราย รวม 24 ราย จากจำนวนหมายจับทั้งหมด 29 ราย พบผู้ต้องหาทั้งหมด เป็นชาวไทย
เวลาต่อมา พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยังได้เปิดเผยผลการดำเนินงานของคณะทำงานปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ TICAC โดยคดีแรก สามารถจับ พนักงานรักษาความปลอดภัยชาวเมียนมา ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมยึดโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ภายในพบไฟล์สื่อลามกเด็กจำนวนมาก หลังได้รับแจ้งจากมารดาเด็กวัย 13 ปี ว่า ผู้ต้องหาได้มีการพูดคุยกับเด็กผ่านเฟซบุ๊คและไลน์จนไว้ใจ และทำการแสดงท่าทางอนาจารผ่านวีดีโอคอล ซึ่งผู้ต้องหาได้ลักลอบบันทึกภาพไว้ใช้ข่มขู่เด็กผู้เสียหาย ตำรวจจึงแจ้งข้อหา มีสื่อลามกอนาจารเด็กไว้ในครอบครองเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศฯ
ส่วนอีกคดี TICAC ได้รับแจ้งจากบ้านพักแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ว่ามีเด็กชาย 7 ราย ถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงเข้าคุ้มครองช่วยเหลือ จนนำไปสู่การจับผู้ต้องหา 2 ราย ในพื้นที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมยึดของกลางโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต แฟลชไดร์ และอื่น ๆ อีกหลายรายการ โดยได้มีการแจ้งข้อหา ร่วมกันกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ร่วมกันพรากผู้เยาว์ฯ และข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่อีกคดี ตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ขอหมายศาลเข้าตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พร้อมควบคุมตัวชาวออสเตรีย ที่พบว่า มีการครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กจำนวนมากจึงดำเนินคดีในข้อหามีสื่อลามกอนาจารเด็กไว้ในครอบครองฯ