ผู้สื่อข่าวไทยแทบลอยด์ รายงานว่า นายกองโทคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายประเสริฐ แก้วขาว หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง ลงพื้นที่บ้านดอยจัน หมู่ที่ 1 ตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามประเด็นที่ปรากฏข่าวสารตามสื่อช่องทางต่าง ๆ ว่า มีกลุ่มว้าแดงอพยพมาจากเมียนมา เข้ามาปลูกสร้างบ้านอยู่ในพื้นที่ มีการจัดทำบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน (กลุ่มหัว 0) หรือเตรียมรับบัตรหัว 6 และหัว 8 มีการสวมนามสกุลของบุคคลสัญชาติไทย

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้สื่อข่าว โดยให้ผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุมราษฎร ทั้งบุคคล สัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทย มาเข้าร่วมประชุม เพื่อรับฟังปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งมีราษฎรเข้าร่วมประชุมประมาณ 300 กว่าคน โดยจากการรับฟังข้อเท็จจริงจากราษฎรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทย ต่างยืนยันว่า ในพื้นที่ไม่มีกลุ่มว้าแดงเข้ามาอาศัยในหมู่บ้าน มีเพียงชนกลุ่มน้อย ได้แก่ ชนกลุ่มน้อยเผ่าดาราอัง (ปะหล่อง) คนลาวอพยพ ที่รัฐให้การรับรองสถานะบุคคลตามกฎหมาย โดยการจัดทำทะเบียนประวัติไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งบางคนถือบัตรประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 6 และบางคนถือบัตรประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 0 กลุ่ม 89 สถานะทางกฎหมายของบุคคลเหล่านี้ รัฐอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว จึงชอบด้วยกฎหมาย

การจัดทำบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน (กลุ่มหัว 0) หรือเตรียมรับบัตรหัว 6 และหัว 8 สืบเนื่องจากปัจจุบัน ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 เห็นชอบให้แก้ไขหลักเกณฑ์การขอสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อยหรือชาติพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน ซึ่งบุคคลดังกล่าวจะถือบัตรประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 6 และเลข 0 กลุ่ม 89 จากการตรวจสอบในพื้นที่มีบุคคลที่ถือบัตรที่ขึ้นต้นด้วยเลข 6 จำนวน 7 ราย และถือบัตรขึ้นต้นด้วยเลข 0 หลักที่หกและเจ็ดเป็นเลข 89 หรือที่เรียกว่ากลุ่ม 0-89 จำนวน 136 ราย ซึ่งปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศ เรื่องให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายฯ (จากเลข 6 เดิม และเลข 0-89 เดิม ให้เปลี่ยนสถานะเป็นต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยถือบัตรประจำตัวที่ขึ้นต้นด้วยเลข 8) ทางอำเภอจึงเตรียมความพร้อม โดยการคัดบัญชีรายชื่อของกลุ่มบุคคลดังกล่าวไปให้ผู้ใหญ่บ้านดำเนินการสำรวจว่ามีบุคคลใดที่สามารถติดต่อได้และไม่สามารถติดต่อได้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ทราบว่า แต่ละหมู่บ้านว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด ดังนั้น เมื่อผู้ใหญ่บ้านประกาศให้บุคคลดังกล่าวมารายงานตัว และแจ้งเกี่ยวกับสิทธิต่างหลังจากที่ได้รับสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ราษฎรบางรายเกิดความกังวลใจว่าเหตุใดบุคคลเหล่านี้จึงได้สัญชาติไทยมาโดยง่ายดาย และกังวลว่าหากได้สัญชาติมาแล้วจะสมัครเป็นผู้นำคนไทย เช่น สมัครเป็นผู้ใหญ่บ้าน นักการเมืองท้องถิ่น กรณีดังกล่าวทางอำเภอเชียงแสน ได้ชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวและประชาชนที่เข้าร่วมประชุมให้เข้าใจข้อเท็จจริงแล้วว่า ข้อเท็จจริงมิได้เป็นไปตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด และไม่ได้เป็นไปตามที่ทุกคนกังวล ทุกอย่างดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด การเสพข่าวสารต่าง ๆ และนำไปสื่อสารกันเอง จากผู้ที่ไม่มีความรู้ข้อกฎหมาย จึงเกิดปัญหาและนำไปขยายเป็นวงกว้างสู่ประชาชนและผู้สื่อข่าวนำไปเสนอข่าวตามที่ปรากฎในสื่อออนไลน์
ส่วนกรณีที่มีการสวมนามสกุลของบุคคลสัญชาติไทย จากการตรวจสอบไม่มีการสวมนามสกุลของบุคคลสัญชาติไทยแต่อย่างใด แต่มีนามสกุลของบุคคลต่างด้าวที่เป็นชนกลุ่มน้อย ไปซ้ำกับนามสกุลของบุคคลสัญชาติไทย จำนวน 4 ราย ซึ่งทั้ง 4 ราย ได้มาจากการจัดทำทะเบียนประวัติฯ ระหว่างปี 2548-2554 ซึ่งขณะนั้นบุคคลดังกล่าวอาศัยอยู่กับสามี ซึ่งเป็นคนสัญชาติไทย และสามียินยอมให้ใช้นามสกุล แต่ขณะยินยอมฝ่ายญาติของสามีอาจไม่ทราบ และเข้าใจว่าบุคคลดังกล่าวนำนามสกุลมาสวม
ทั้งนี้ ยังได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุม ได้ซักถามทุกประเด็นปัญหาที่เป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับประวิตความเป็นมาของกลุ่มต่างด้าวแต่ละกลุ่ม และการจัดทำทะเบียนประวัติในห้วงต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมทั้งการพัฒนาสถานะตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 รวมทั้งสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะได้รับ ซึ่งได้มีการซักถามในหลายประเด็นและได้ชี้แจงทุกประเด็นจนเป็นที่เข้าใจและพอใจแก่ราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีปัญหาอุปสรรค

