ครม.-สส.-องค์กรอิสระ ช่วยตั้งสติอย่ามัวบริหารอำนาจ ชาวบ้านอาการร่อแร่-รอเยียวยา

1110

ห้วงเวลานี้เชื่อว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) สส. ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมถึงองค์กรอิสระทั้งหลาย กำลังเล่นเกมอะไรกันอยู่ เพราะต่างไม่ค่อยจะสนใจว่าบ้านเมืองและประชาชนจะอยู่กันอย่างไร

อย่างกรณีวิวาทะระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ถึงประเด็นนักท่องเที่ยวจีนลดลง โดยนายอนุทินบอกว่าผู้นำจีนไม่ค่อยพอใจที่ไทยจะเปิดคาสิโน เพราะห่วงคนจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยจะเกิดปัญหา

น.ส.แพทองธาร สวนทันควันว่าผู้นำจีนห่วงความปลอดภัยมากกว่า โดยเฉพาะภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สั่งให้ปราบหลายครั้งแต่นิ่งเฉย ทำให้นายอนุทิน ตอกกลับว่าไม่ได้คุมตำรวจและท่องเที่ยว คำตอบของนายอนุทิน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าแกล้งไม่รู้หรือไม่รู้จริง ๆ ถึงบทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดว่ามีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการในทุกเรื่องอยู่แล้ว

ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราฟังแล้วได้แต่ทำใจและไม่ได้แปลกใจอะไรว่ากระทรวงมหาดไทยยุคนายอนุทิน จัดการอะไรไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ อย่างปราบแก๊งเงินกู้นอกระบบไร้ผล เพราะปรากฏข่าวอยู่เนือง ๆ ว่าแก๊งทวงหนี้เงินกู้ยังทำร้ายลูกหนี้เหมือนเดิม หรือกรณีบุกรุกที่ดินรัฐของผู้มีอิทธิพลยังไร้ปัญญาจัดการ แต่พอหลุดจากพรรคร่วมรัฐบาล แกนนำพรรคฯ โชว์บทรู้ทุกปัญหาถึงขั้นจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที หรือแม้แต่กฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โชว์บทไม่เห็นด้วย อดสงสัยไม่ได้ว่าตอนที่นั่งอยู่ใน ครม. ปล่อยผ่านได้อย่างไร ทั้งที่ควรจะแสดงบทบาทว่าถ้ากฎหมายฉบับนี้เข้าสภาฯ พรรคภูมิใจไทยจะถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่วางเฉยและเห็นดีเห็นงามให้สภาฯ บรรจุเข้าวาระอีกต่างหาก

ขณะที่ สส. ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างเปิดเกมเล่นกันแบบไม่สนใจความรู้สึกชาวบ้าน ไม่ว่าจะเกมนับองค์ประชุม เกมไม่อยากให้กฎหมายที่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำผ่านความเห็นชอบ เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลสะดุดถึงขั้นยุบสภา หรือองค์กรอิสระทั้งหลายล้วนแต่คอยกระตุกขาใช้นิติสงครามห้ำหั่นนักการเมืองที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน ล้วนแต่ส่งผลให้บ้านเมืองเดินไปสู่ภาวะวิกฤตทั้งสิ้น ซึ่งบริบทดังกล่าวชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราพอมองเอาว่าเป็นเกมชิงอำนาจล้วน ๆ และทำเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองทั้งสิ้น โดยที่ไม่มีชาวบ้านอยู่ในสมการแต่อย่างใด

ถ้ากลุ่มนักการเมืองและองค์กรอิสระทั้งหลายคิดจะทำเพื่อส่วนรวมจริง คนระดับกลางถึงรากหญ้าคงไม่ถูกสารพัดปัญหารุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปากท้องที่ต้องใช้ชีวิตแบบกระเบียดกระเสียร รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง หนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบพอกพูน พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยตามตลาดนัดหรือตลาดสดอยู่ในภาวะกำไรหด บางรายถึงขั้นเลิกกิจการ

นอกจากต้องเผชิญกับสภาพกระเป๋าแฟบแล้วยังต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรที่ก่อเหตุแทบทุกชุมชนและที่สาธารณะ หรือแม้แต่วงการสงฆ์พระชั้นผู้ใหญ่ก่อเหตุฉาวโฉ่ ฉุดให้ศรัทธาพุทธศาสนาเสื่อมทรุดแต่ที่น่าเห็นใจกว่าพื้นที่อื่นคงหนีไม่พ้นชาวบ้านในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเจอสองเด้งทั้งปัญหาเศรษฐกิจและความปลอดภัยในชีวิตที่มีโอกาสเกิดอันตรายได้ตลอดเวลา ยิ่งได้อ่านบทความ 33 ปี ชีวิตสีกากี ของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ในมติชนสุดสัปดาห์ : ใต้ไม่สงบเพราะเลี้ยงไข้ ตอนหนึ่งระบุ

“ผมได้ฟังคำตอบของนายทหารแล้วตกใจ คำตอบคือ ถ้าเราจัดการจนหมดสิ้น หน่วยของเราอาจจะถูกยุบเพราะหมดภารกิจ ผมยืนยันว่าผมฟังไม่ผิด ได้ยินทั้งสองหูอย่างชัดเจนจากนายทหารทั้ง 2 ค่าย ผมเข้าใจมานานแล้วว่าทำไมภาคใต้ไม่สงบ เพราะมีการเลี้ยงไข้งบประมาณ ถมไปเท่าไหร่ก็ไม่พอ” คงจะรู้สึกเจ็บจี๊ดภายในใจและไม่ต้องอธิบายความมากว่าข้อมูลไม่จริง เพราะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เมื่อเกษียณอายุแล้วหรือถูกผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งมักจะพูดความจริงเสมอ

ดังนั้น ปัญหาที่นำมาเสนอสามารถเห็นและสัมผัสได้ทั่วไปโดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลทางวิชาการมาอ้างอิงแต่อย่างใด แต่ที่ถูกเลยจนชาวบ้านอยู่ในอาการร่อแร่ เพราะผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็น ครม. สส. และองค์กรอิสระทั้งหลาย ล้วนแต่ถนัดบริหารอำนาจไว้ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองและพวกพ้อง มากกว่าที่จะใส่ใจกับปัญหาของชาวบ้าน

หากกลุ่มผู้มีอำนาจทั้งหลายยังหลงมัวเมากับการบริหารอำนาจ มากกว่าที่จะสามัคคีกันบริหารประเทศให้ประชาชนรู้สึกได้ว่าเริ่มอยู่ดีกินดีขึ้น เชื่อว่าไม่นานความหายนะจะมาเยือนอย่างแน่นอน !!!