ปัตตานี วันที่ 4 ก.ค. – จากกรณีที่พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้มอบนโยบายเพื่อให้การแก้ไขปัญหาพืชกระท่อมและยาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกหน่วยงานต้องทำความเข้าใจและนำปฏิบัติการ 120 วันไปปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน เน้นคุณภาพและผลลัพธ์ที่ประชาชนสัมผัสได้ รวมทั้งประกาศห้ามจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เพื่อลดปัญหาการค้าและการใช้พืชกระท่อมอย่างผิดวัตถุประสงค์ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งหมด 688 ชุมชน

ซึ่งต่อมา พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) สั่งการทุกหน่วยในพื้นที่ร่วมปฏิบัติการ 120 วัน วาระพืชกระท่อม ภายใต้แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดจังหวัดชายแดนภาคใต้ แบบบูรณาการในทุกมิติ และล่าสุด ได้มอบหมายให้ นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผอ.กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. ลงพื้นที่พบปะให้กำลังใจ ชุมชนเข็มแข้ง ในพื้นที่ตำบลควน อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ที่ได้รวมพลัง เอาชนะกระท่อม ห้ามจำหน่ายในพื้นที่ ภายใต้การนำของ นายภาคิน ซูสารอ นายก อบต.ควน และ กำนันตำบลควน ผู้ใหญ่บ้าน อิหม่าม รพ.สต.ควน แขวงการทางปะนาเระ และแขวงการทางสายบุรี ทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะนาเระ
นายภาคิน กล่าวว่า เดิมร้านขายพืชกระท่อม ตั้งอยู่ใกล้ชุมชน 7 ร้าน บริเวณ ทางหลวงสาย 42 จึงได้ขอความร่วมมือให้ขยับไปขายตรงจุดที่ไม่มีชุมชน แต่ถนนสาย 42 เป็นสายหลัก เชื่อมปัตตานี นราธิวาส เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่เดินทางผ่านไปมาก็จะเห็น แม้กระทั่งเพื่อนตนก็จะโทรมาแซว ว่าทำไมขายสายใหมอยู่ริมถนน เหมือนของฝาก ประกอบกับทางจังหวัด และนายอำเภอ ก็มีนโยบาย ปลัดอำเภอก็มาคุย จึงเป็นที่มาของการผลักดันเรื่องนี้ร่วมกับทุกหน่วยในพื้นที่ มีการปักป้าย “พวกเราไม่เอาน้ำกระท่อม” “ประกาศห้ามจำหน่ายน้ำกระท่อมในพื้นที่” “ชุมชนรวมใจ ห่างไกลน้ำกระท่อม” “พื้นที่นี้ไม่อนุญาตให้จำหน่ายหรือบริโภคน้ำกระท่อมเพื่อสุขภาพของเยาวชนและความสงบเรียบร้อยของชุมชน” “หยุดขาย หยุดดื่ม หยุดพฤติกรรมเสี่ยง” “รวมพลังต้านกระท่อมแปรรูป” ซึ่งตั้งแต่มีป้ายเหล่านี้ ก็ยังไม่เห็นมีผู้ใดมาขาย และขอให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป

นายก อบต.ควน กล่าวว่า การไปขายริมถนนซึ่งเป็นเขตพื้นที่ของแขวงการทางนั้น ถือว่าผิดกฎหมายของแขวงการทาง ที่ผ่านมาแขวงการทางพยายามแก้ปัญหาด้วยขุดคลองระบายน้ำ และอื่น ๆ เพื่อไม่ให้ร้านตั้งขาย แต่ผู้ค้าก็ยังมีความพยายาม พอแขวงการทางขุดจุดนี้ ร้ายเขาก็ขยับไปห่างออกไปอีก ดังนั้นต้องช่วยกัน รณรงค์ แขวนป้าย ไม่เอากระท่อม แม้ว่ามันไม่ได้เป็นยาเสพติด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตั้งธงว่าจะไปจับกุม แต่จะไปให้ความรู้ ตักเตือน แต่วันที่ไปร้านค้าก็ไม่อยู่แล้ว จึงปักป้ายต่าง ๆ ไว้
นายซอบรี แยแลขอ อิหม่ามมัสยิดในพื้นที่ตำบลควน กล่าวว่า จากที่ลงไปพูดคุยร้านค้าอ้างว่า เขาไม่มีงานทำ แต่ความจริงยังมีงานอื่นให้ทำ การที่ไปทำงานนี้ไม่เป็นสิริมงคล เงินที่ได้มาจากของแบบนี้ถือว่าไม่ดี อยากให้กลับใจ มาทำในสิ่งดี ๆ การแก้ปัญหากระท่อมถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ผ่านมาขายกันอย่างอิสระ จึงอยากจะให้ทุกคน ทุกหน่วยงานมาช่วยกัน เพราะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ หากเยาวชนไปยุ่งกับสิ่งเสพติด การพัฒนาก็จะล่าช้า เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ

“ในฐานะที่เป็นอิหม่ามก็กลัวว่าคนดีมาเข้ามัสยิดน้อย อนาคตอาจจะไม่มีคนเข้ามัสยิดเพราะวัยรุ่นไปติดกระท่อม ตอนนี้บางพื้นที่วัยรุ่นไม่มาละหมาดที่มัสยิดเลย วัยรุ่นไปติดกระท่อมหมดเลย กลัวว่าในอนาคตจะไม่มีคนดีอยู่ในมัสยิด อยู่ในวัด พอไม่มีคนดีก็จะเกิดปัญหาอื่นตามมาอีก มีการหย่าร้าง จากสถิติ ของจังหวัดปัตตานี ตอนนี้มีการหย่าร้างเดือนหนึ่งประมาณ 40 กว่าคน เฉพาะปัตตานี เพราะสามีไปติดกระท่อม ไม่กลับบ้านเลย ทำให้ภรรยาต้องมาขอหย่ากับคณะกรรมการอิสลาม พอสอบสวน สืบไปสืบมา ภรรยาจะบอกว่า บังเขาไปอยู่ในป่า 3 เดือนไม่กลับบ้านเลย ก็มีความหวังว่าการที่เรามาร่วมกันทำเรื่องนี้จะช่วยให้อนาคตของเราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง” นายซอบรี กล่าว
ด้านนางอัฒนิกา เกื้อไชย ผู้ใหญ่บ้านในตำบลควน กล่าวว่า ในฐานนะเจ้าของพื้นที่ก็ได้ผลักดันเรื่องนี้มาตลอด จนถึงปัจจุบัน จากที่เขาวางขายตรงแหล่งชุมชน จนกระทั่งทำให้เขาขยับไปขายตรงที่ไม่มีชุมชนก็ดีใจ แต่เมื่อเขาย้ายไปริมทางหลวง จากแรก ๆ ตั้งบนรถ พอหลังๆเริ่มมีเพิง มีห้องน้ำ ทำให้มีคนมากันเยอะมาก เมื่อทุกหน่วยมาร่วมกันรณรงค์ก็ดีใจ เพราะมีเยาวชนมากพอสมควรที่ใช้กระท่อม หากทำให้ร้านเหล่านี้ออกไปจากพื้นที่ไปได้ ไม่สามารถซื้อง่ายขายคล่องได้ ก็ดีใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่พบว่า ขณะนี้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ รวมพลังกันต้านกระท่อม ไม่ให้มีวางจำหน่าย และอีกหลายจุดมีการขึ้นป้ายไม่เอากระท่อมเช่นเดียวกัน คาดว่าในอนาคต ปัญหาเยาวชนติดน้ำกระท่อมจะหมดไปจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

