ตำรวจCIB บุกจับร้านนวดเถื่อนลพบุรี แฝงค้ากามหญิง หลังกระทำผิดซ้ำซาก – ยึดหลักฐานพร้อมแจ้งข้อหา 6 ราย

349

วันที่ 29 มิ.ย. 2568 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และทีมผู้บริหาร บูรณาการร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี สนธิกำลังเข้าจับกุมร้านนวดแอบแฝงค้าประเวณี ในพื้นที่ตำบลป่าตาล อำเภอเมืองลพบุรี

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ท.สุพจน์ ทองมาเอง สว.กก.2 บก.ปคม. ได้ทำการสืบสวนและวางแผนล่อซื้อบริการจากร้านนวดแห่งหนึ่งในย่านริมถนนป่าตาล โดยอ้างว่าเป็นร้านนวดเพื่อสุขภาพ แต่มีการแอบเสนอ “บริการพิเศษ” หรือบริการทางเพศแฝง หลังนวดน้ำมัน 40 นาที ในราคา 1,500 บาท รวมกับค่าบริการนวด 400 บาท รวมเป็น 1,900 บาท เจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมทันทีขณะกำลังให้บริการภายในห้องชั้น 2 ของร้าน พร้อมตรวจสอบธนบัตรล่อซื้อที่ตรงกับหมายเลขที่ลงบันทึกไว้

ผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย ถูกควบคุมตัวพร้อมแจ้งข้อหา ได้แก่ 1.น.ส.วิไลวรรณ อายุ 30 ปี ความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี มาตรา 5 และ 6 , 2. น.ส.กมลชนก อายุ 36 ปี (เจ้าของร้าน) เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต,ดำเนินกิจการค้าประเวณี,เปิดสถานประกอบการเพื่อสุขภาพโดยไม่มีใบอนุญาต และ ใช้ชื่อธุรกิจลวงให้เข้าใจว่าเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ,3. น.ส.อรุษรา อายุ 41 ปี ,4. น.ส.ชัชฎาภรณ์ อายุ 38 ปี ,5. น.ส.ธิดาวรรณ อายุ 37 ปี และ6. น.ส.ประภัสสร อายุ 30 ปี ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี

จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และยอมรับว่ามีการลักลอบค้าประเวณีจริง พร้อมยืนยันว่าร้านไม่มีใบอนุญาตดำเนินกิจการนวดเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้อง เจ้าหน้าที่จึงนำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมยึดของกลางและหลักฐานประกอบสำนวน

เตือนภัยสังคม ตำรวจสอบสวนกลางเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการใช้บริการร้านนวดที่ไม่มีใบอนุญาต หรือมีพฤติกรรมแอบแฝงผิดกฎหมาย อาทิ เปิดบริการนอกเวลาที่กำหนด,ไม่มีการแสดงใบอนุญาตอย่างชัดเจน,สถานที่ลับล่อ มีบุคคลเข้าออกผิดปกติ และ ให้บริการที่ไม่ตรงกับลักษณะนวดเพื่อสุขภาพ
หากพบเบาะแสหรือสงสัยว่าเข้าข่ายค้าประเวณี แนะนำแจ้งสายด่วน 1191 หรือ พ.ต.ท.สุพจน์ ทองมาเอง โทร. 081-567-7671

การเผยแพร่ข่าวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะในการสร้างการรับรู้เท่าทันภัยอันตราย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยผู้ต้องหายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด