”ผบ.ต่าย”กล้าจัดแถว-สางขยะใต้พรม รพ.ตำรวจ”หรือไม่.? มันคือบทพิสูจน์ตัวผู้นำองค์กร ว่าจะเรียกศรัทธาจากประชาชน ต่อจากเดิมได้หรือไม่.?

1459


           “  ไม่น่าเชื่อว่าโรงพยาบาลตำรวจ มีบุคลากรเปี่ยมคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ เป็นที่ประจักษ์ ตำรวจและประชาชนต่างชื่นชมคุณภาพการรักษาและบริการ กลายเป็นหน่วยงานที่เครดิตถดถอยถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เสมือนตำบลกระสุนตก   เพราะด้วยระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือนบุคลากรทางการแพทย์เกิดเหตุฉาวโฉ่ถึง 2 เรื่อง

            เรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม แพทยสภามีมติให้ลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไปรักษาตัวต่อที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยให้ว่ากล่าวตักเตือน พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ภาคทัณฑ์ พักใบอนุญาต  พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงจารุ โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลา 3 เดือน ฐานให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน 2 ครั้ง ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง และภาคทัณฑ์ พักใบอนุญาต พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลา 6 เดือน ฐานเขียนใบรับรองแพทย์ให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

     ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน มีการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เพื่อให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ในฐานะสภานายกพิเศษ ชี้แจงปมวีโต้ที่แพทย์สภามีมติลงโทษแพทย์ 3 คน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นคณะกรรมการแพทยสภาได้ประชุมหารือพร้อมลงมติยืนตามมติของแพทยสภา

     เมื่อผลการลงมติแพร่ออกไป มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบจากฝั่งเชียร์นายทักษิณ และเชิงบวกจากฝั่งตรงข้ามนายทักษิณ ส่วนขั้นตอนจะดำเนินการต่ออย่างไร ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาที่แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจไปยื่นฟ้องอย่างไรคงติดตาม

   เรื่องที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ตำรวจปราบปรามยาเสพติด พร้อมเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จับกุม พ.ต.อ.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล หรือหมอแอร์ โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมพวกรวม 6 คน ยึดของกลางยาอัลโปราโซแลมหรือยาเสียสาว จำนวนมาก จากการตรวจค้นห้องพักหมอแอร์ ในแฟลตตำรวจและคลินิกอื่นๆอีก 11 แห่ง และตรวจสอบพบว่าก่อเหตุมาหลายปีมีเงินหมุนเวียนกว่า 400 ล้านบาท

     ภายในวันเดียวกันต้นสังกัดหมอแอร์มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ข่าวการจับกุมหมอแอร์ สื่อทุกสำนักรวมถึงสื่อโซเชียล นำเสนอพฤติกรรมแห่งคดีอย่างละเอียดทั้งระยะเวลาก่อเหตุ เงินหมุนเวียนทางธุรกิจ รวมถึงขุดประเด็นหมอแอร์ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง เนื่องจากในปี 2565 มีผู้เสียหายร้องเรียนว่านำเงินมอบให้หมอแอร์เพื่อช่วยต่อวีซ่าพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีการฟ้องร้องศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 7 ปี  ระหว่างยื่นอุทธรณ์เจรจาตกลงกันได้ โจทก์ถอนฟ้องไป

   จากทั้งสองกรณีชาวสีกากีต่างจับตาว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)จะขยับอย่างไร เพื่อกู้วิกฤตที่เกิดกับโรงพยาบาลตำรวจ จนกลายเป็นตำบลกระสุนตก ฉุดภาพลักษณ์องค์กรตำรวจที่กำลังดีวันดีคืนจากฝีมือการบริหารของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ให้ถอยหลังลงคลองอีก

   หากย้อนดูความเคลื่อนไหวของบุคลากรในโรงพยาบาลตำรวจ บ่อยครั้งที่มักมีเสียงนินทาว่าผู้บริหารระดับสูง บริหารจัดการไม่ค่อยโปร่งใส ทั้งการบริหารงานบุคคลที่แก่งแย่งชิงเก้าอี้กัน ด้วยการรับใช้ผู้มีอำนาจถึงขั้นละเมิดจรรยาบรรณแพทย์ เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่สูงขึ้น รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่โปร่งใส ถึงขั้นร้องเรียนให้ตรวจสอบกันบ่อยครั้ง แต่ปัญหากลับถูกกวาดซุกไว้ใต้พรม

    หรือกรณีของหมอแอร์ที่ใช้อำนาจหน้าที่ไปแสวงหาผลประโยชน์จากคนจีน ด้วยการเรียกรับเงินเพื่อต่อวีซ่าด้วยวิธีพิเศษ เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2565 แต่การสอบวินัยร้ายแรงยังไม่แล้วเสร็จ จนหมอแอร์โดนจับข้อหาขายยาเสียสาวด้วยการใช้ยศและความเป็นหมอของโรงพยาบาลตำรวจเป็นเครื่องมือก่อเหตุแบบแนบเนียน

     ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกรณีสองหมอถูกแพทยสภาลงโทษพักใบอนุญาตและกรณีหมอแอร์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องออกแอ็คชั่นจัดการปัญหาให้รวดเร็ว อย่างกรณีหมอแอร์ต้องสั่งการให้ตำรวจสืบสวนว่าขบวนการหมอแอร์มีตำรวจคนไหนเข้าเกี่ยวข้องบ้างและมีหมอในโรงพยาบาลตำรวจเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

  หรือกรณีของสองหมอ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ควรจะแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร อาทิ จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงหรือไม่ และจะสั่งสำรองราชการระหว่างสอบสวนหรือไม่ รวมถึงจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความไม่โปร่งใสการบริหารงานภายในโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่

     ที่สำคัญจะสั่งสอบสวนขั้นตอนการรักษานายทักษิณ ระหว่างนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ เพราะมติของแพทยสภา และคณะกรรมการแพทยสภา ต่างยืนยันตรงกันว่าแพทย์ที่รักษามีความผิด

     ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไปต้องจับตาดูว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร จะเดินหน้าแก้ปัญหาต่างๆที่ถูกเก็บซุกไว้ใต้พรมของโรงพยาบาลตำรวจอย่างไร เพราะแต่ละปัญหาได้ถูกสังคมนำไปวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบอย่างสนุกสนาน

แต่ถ้า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ วางเฉยเพราะเกรงว่าจะไปกระทบกับฝ่ายการเมือง ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจจะถูกฉุดให้ดิ่งเหวยิ่งกว่าเดิม วิสัยทัศน์และพันธกิจที่สัญญาไว้กับตำรวจและประชาชน คงเป็นได้แค่คำลวง หาก ผบ.ตร.ไม่กล้าฟัน ภัยจะวิ่งเข้าหาตัวเอง ตาม ม.157 แน่นอน ภาพลักษ์ของ ลูกผู้ชาย ที่ชื่อ  พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ที่ยึดหลักเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับดำรงตน ตลอดการรับราชการจนเติบโตเป็นที่ยอมรับจาก ผู้ใต้บังคับบัญชา สองแสนกว่านาย มันคือเกราะป้องกันชั้นดีให้ตัวท่าน

แต่หาก กรณีนี้ ท่านเลือกจะสนองการกดดันจากฝ่ายการเมือง ท่านกล้ามองหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านหรือไม่ ต้องตระหนักให้มาก ในทางกลับกันหากท่านกล้าใช้กฏกมาย ระเบียบข้อบังคับ ทางปกครองให้เป็นไปด้วยความยุติธรรมอย่างเสมอภาคเฉกเช่น ที่ท่านเคยดำรงตน จนเป็นที่ประจักษ์ อย่างสง่างามตลอดมา ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคงภาคภูมิใจ ยกให้เป็นตนแบบ พร้อมทั้งประชาชนนับล้าน ที่มีความศรัทธาในองค์กรสีกากี ตลอดมาที่ท่านเข้ามาดำรงผู้นำหน่วยกำลังรอการปรบมือให้ท่าน  มันถึงทางแยกที่ตัวท่านเองต้องเลือก เพื่อนำองค์กรให้เดินไปทิศทางไหน.?!!!