เชียร์ ตร.จัดหนัก..!!! คดีเงิน 12 ล้าน ชี้ ถ้าผิด-ต้องสาวให้ถึงคนจ่าย

1028

 “        นับแต่ปรากฏข่าวพลเมืองดีแจ้งความพบเงินสด 12 ล้าน อยู่ในกล่องพลาสติกทิ้งอยู่บริเวณจุดทิ้งขยะหน้าลิฟต์ ชั้น 4 ตึกP2 คอนโดเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด นนทบุรี ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เข้าตรวจสอบแล้วนำเงินไปเก็บไว้ที่สภ.ปากเกร็ด พบหลักฐานใบกำกับภาษีระบุถึงหน่วยงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)และปรากฏหลักฐานมีชื่อ นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ทนายความ

       “ประดู่แดง”เฝ้าติดตามความคืบหน้ามาตลอดรวมถึงความเคลื่อนไหวด้านอื่นๆ เพราะด้วยสัญชาตญาณที่เคยลุยสนามข่าวอาชญากรรมมาก่อน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเงินสดก้อนนี้น่าจะมีที่ไปที่มาไม่ธรรมดา แม้นายทวีวัฒน์ จะเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.ปากเกร็ด พร้อมยืนยันว่าเป็นเจ้าของเงินจริง พร้อมระบุว่าถ้าพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่เงินเงินตนจะถูกดำเนินคดีให้การเท็จ และถ้าพบว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบต้องติดคุกเช่นเดียวกัน ผมเป็นทนายความทราบเรื่องกฎหมายดี

  แต่เมื่อดูถึงตำแหน่งที่นายทวีวัฒน์ ได้รับการแต่งตั้งตามที่น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน นำออกเผยแพร่ จัดว่าไม่ธรรมดาอาทิ เป็นที่ปรึกษาบอร์ด กสทช.คือนายต่อพงศ์ เสลานนท์ เคยเป็นคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์กรณีควบรวมทรูกับดีเทค และ คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กสทช.สนับสนุนค่าใช้จ่ายซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดบอลโลก กสทช.จ่ายเงิน 600 ล้านบาท เป็นต้นและทำงานในแวดวงของกสทช.มาแล้วกว่า 15 ปี ถือว่ามีบทบาทสำคัญใน กสทช.

    ในแวดวงต่างๆไม่เป็นนักการเมือง หรือนักธุรกิจด้านสื่อสาร  ต่างทราบกันดีว่า กสทช.ต้องดูแลและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติ จำนวนมหาศาล แถมมีอำนาจพิเศษใช้เงินที่ได้รับจากการประมูลคลื่นต่างๆมีจำนวนมหาศาลได้อย่างอิสระด้วย

     ระหว่าง ตำรวจสืบสวนมีข้อมูลจากนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช)ระบุว่านายทวีวัฒน์ มีสถานะเป็นสามีของข้าราชการ ป.ป.ช.ระดับผู้อำนวยการ ตามกฎหมายต้องบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วย ทาง ป.ป.ช.ตั้งกรรมการตรวจสอบแล้ว

   ครั้นมามองถึงแนวทางการสืบสวนสอบสวนจะพบว่าตำรวจให้ความสำคัญค่อนข้างสูง โดย พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.)นนทบุรี ลงมากำกับเองพร้อมวางแนวทางไว้ 3 แนวทาง ประกอบด้วย

1. สภ.ปากเกร็ด เจ้าของคดี ประสานงานกับธนาคาร รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ สอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง  2.ตรวจสอบเส้นทางเงิน โดยประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ3. ข้อสงสัยเงิน 12 ล้านได้มาอย่างไร ทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ประสานให้กองบังคับการตำรวจป้องกันปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.)และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมตรวจสอบด้วย รวมถึงเชิญตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน เก็บตัวอย่างลายนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอ ไว้เป็นวัตถุพยานด้วย

   พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ระบุว่าสายรัดธนบัตร พบว่าเป็นของธนาคารกสิกรไทย เพียงแห่งเดียว ได้ประสานไปยังธนาคารฯเพื่อตรวจสอบว่าเงินทั้ง 12 ล้าน เบิกจากบัญชีของใครหรือใครโอนเข้ามา

   ขณะที่ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 บอกว่าหลังสอบปากคำนายทวีวัฒน์ เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นของนายทวีวัฒน์จริง แต่ต้องตรวจสอบว่าถอนจากบัญชีใคร แต่หลักฐานเส้นทางการเงินที่นำมายื่นยังไม่สอดคล้องกับรายได้ 12 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการถอนเงินจำนวนมากออกมาแล้วเก็บไว้ในห้องเฉยๆผิดวิสัยของคนปกติ แต่เป็นสิทธิ์ของเขา อย่างไรก็ตามจะเรียกภรรยานายทวีวัฒน์มาสอบด้วย

     ดังนั้นเมื่อมองถึงแนวทางการทำงานของตำรวจแล้วจัดว่ารัดกุมเพราะทั้งระดับบก.ผู้บังคับการฯลงมือเอง ระดับ บช.ทางผบช.ภ.1 คอยกำกับ ในส่วนบก.ปปป. มีทั้งผู้การฯและรองผบช.ก.เข้าร่วม แต่ถ้าจะให้ดี ผบช.ก.ควรจะออกหน้าสนับสนุนด้วย  ส่วน ป.ป.ช. ปปง.และ ป.ป.ท.ล้วนยินดีเข้าร่วมสืบสวนสอบสวนทั้งสิ้น เว้นแต่กรมสรรพากร ที่ยังสงวนท่าทีหลังทีมงาน ส.ส.พรรคประชาชนไปยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ

      ยิ่งมองถึงความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น่าจะไขข้อสงสัยต่างๆได้ อาทิ กรณีนายทวีวัฒน์ ยืนยันว่าเป็นเจ้าของเงิน สามารถแสดงหลักฐานการได้มาอย่างกระจ่างสอดคล้องกันทุกขั้นตอนได้ถือว่าพ้นผิดแล้วรับเงินคืนไป แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องนำหลักฐานออกมาชี้แจงให้สังคมได้ทราบแบบตรงไปตรงมา แต่ถ้านายทวีวัฒน์ไม่สามารถนำหลักฐานไปชี้แจงให้สอดคล้องกันได้ นอกจากจะมีความผิดแล้ว ตำรวจและ ปปง.ต้องสอบสวนสาวไปถึงเจ้าของเงิน 12 ล้านว่าจ่ายให้นายทวีวัฒน์เพราะอะไร เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจหรือไม่ ถ้าเจ้าของเงินชี้แจงไม่ได้จะต้องดำเนินคดีด้วยพร้อมตรวจสอบให้ถึงต้นตอของเงินที่จ่ายออกมาในครั้งแรกด้วย เพราะถ้าจ่ายเพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจจะเข้าข่ายความผิดด้วยเช่นกัน

      เมื่อมองอย่างวิเคราะห์ถ้าทำคดีแบบตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยสามารถผนึกกำลังสางคดีแบบฉลุยแน่นอน  แต่ถ้ายิ่งสาวยิ่งเจอตัวละครที่เกี่ยวข้องมีกำลังภายในสูงโอกาสที่จะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดูเป็นไปได้สูงเช่นกัน เพราะเงินสดๆถึง 12 ล้านแม้แต่ผู้ที่แสดงตัวเป็นเจ้าของยังบอกว่านำไปทิ้งเพราะเมาและไม่รู้ว่าเก็บไว้ในกล่อง พอนุมานได้ว่าเงินสด 12 ล้านแค่จิ๊บจ๊อย

      ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เป็นมวยล้มต้มคนดูเห็นที ผบ.ตร. ผบช.ก.และผบช.ภ. 1 ต้องแสดงบทบาทให้เห็นว่าพร้อมที่จะเป็นกำแพงให้ผู้ปฏิบัติได้พิงอย่างอบอุ่น !!!