รองนายกฯ ประเสริฐ ชี้ 1 ปี Thailand Zero Dropout เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษามากขึ้น ย้ำทุกหน่วยป้องกันหลุดระบบซ้ำ ด้วยการศึกษายืดหยุ่น พร้อมกระตุ้น 77 จังหวัดเร่งมือค้นหาช่วยเหลือในช่วงเปิดเทอม
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ได้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ระดับชาติ ครั้งที่ 3/2568 โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธาน เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้ 11หน่วยงานได้รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) หลังจากดำเนินงานมาแล้วหนึ่งปี มีเด็ก เยาวชนเข้าสู่ระบบการศึกษามากยิ่งขี้น จากจำนวน 1,025,514 คน เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ปัจจุบัน จำนวนเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษาปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 880,463 คน
“ผมได้เห็นถึงความสำเร็จจากการลงพื้นที่ และได้มอบประกาศนียบัตรให้กับเด็กที่เข้าร่วมโครงการ เช่นที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ผมได้ฟังความฝันของเด็กและโครงการนี้ได้ทำให้ฝันนั้นเป็นจริง นั่นหมายถึงว่าโครงการนี้ได้เดินมาถูกทางแล้ว”

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินการบรรลุเป้าหมายมากยิ่งขึ้น จึงได้มอบนโยบายเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ การค้นหาติดตามช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษายังคงต้องดำเนินต่อ ล่าสุดได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดครบถ้วน ทั้ง 77 จังหวัดแล้ว โดยหลังจากนี้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และ 11 หน่วยงาน จะเน้นสื่อสาร สร้างความเข้าใจกับหน่วยงานในพื้นที่ ให้ร่วมกันอย่างแข็งขันเพื่อติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ในช่วงเปิดเทอม ส่วนเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว ขอให้หน่วยจัดการศึกษาทุกหน่วยทุกสังกัด ดูแลไม่ให้หลุดจากระบบซ้ำ ทำระบบการศึกษาให้ยืดหยุ่น มีคุณภาพ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
อีกประเด็นสำคัญคือการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลของเด็กและเยาวชนไทยให้ครบถ้วน เช่น เด็กและเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนผู้เรียน งบอาหารกลางวัน นมโรงเรียน สวัสดิการ รวมทั้งสนับสนุนสิทธิทางภาษีให้เท่าเทียมกับสถานศึกษาทั่วไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบโครงการ Mini Learn to Earn Model เพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับเยาวชนนอกระบบการศึกษาในช่วงอายุ 16-24 ปี (กลุ่ม NEET) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวน 50,000 คน และจัดการประเมินเพื่อรับรองสมรรถนะและคุณวุฒิวิชาชีพ สร้างโอกาสในการมีงานทำ พร้อมทั้งเก็บประวัติการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบผ่าน E-Workforce Ecosystem Platform เชื่อมโยงเพื่อต่อยอดสู่การศึกษาในระบบในอนาคต รวมถึงการเชื่อมโยงเข้าสู่การจ้างงานหรือประกอบอาชีพอิสระในชุมชน โดยที่ประชุมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอโครงการดังกล่าวเพื่อรับเงิน สนับสนุนตามแผนโครงการตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 2568 จำนวน 500 ล้านบาทต่อไป

