สงกรานต์ช่วยดึงดัชนี SME ขยับขึ้นในรอบ 4 เดือน ผู้ประกอบการหวัง รบ.ช่วยลดต้นทุน-เสริมสภาพคล่อง-กระตุ้น ศก.ระยะยาว

972

กรุงเพฯ, 30 พ.ค. – นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ประจำเดือนเมษายน 2568 ว่า อยู่ที่ระดับ 52.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.5 หลังจากหดตัวต่อเนื่องนาน 4 เดือน โดยได้รับแรงหนุนในระยะสั้นจากเทศกาลมหาสงกรานต์ ซึ่งส่งผลดีต่อภาคบริการเป็นพิเศษ แต่ดีไมเท่าปีก่อน เหตุหนึ่งเนื่องจากการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จึงไม่สามารถจัดกิจกรรมได้ ขณะเดียวกัน ภาษีทรัมป์ยังส่งผลกระทบกับภาคการผลิตหลายสาขาอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาคธุรกิจการเกษตรปรับตัวดีขึ้น จากการเข้าสู่ช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิตนอกฤดูกาลเพาะปลูก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง ทั้งนี้ เมื่อหักปัจจัยฤดูกาลออกแล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพิจารณาจากดัชนีองค์ประกอบปัจจุบัน พบว่า องค์ประกอบดัชนีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอานิสงส์ในช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์ โดยองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อโดยรวม กำไร การลงทุนโดยรวม ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ และการจ้างงาน ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 57.1, 54.7, 50.2, 56.1 และ 49.9 เป็นระดับ 59.6, 56.5, 51.0, 56.8 และ 50.1 ขณะที่องค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ปรับลดลงจากระดับ 41.2 ลงมาอยู่ที่ 39.7 แสดงให้เห็นถึง SME มีความกังวลต่อต้นทุนในการประกอบธุรกิจ เช่น ราคาเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า การขนส่ง เป็นต้น

รักษาการ ผอ.สสว. กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภาคธุรกิจภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 51.3 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.7 โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการผลิต ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 53.5 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 52.0 ซึ่งจากแรงหนุนจากกลุ่มท่องเที่ยวและการเดินทาง ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 52.6 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 52.0 เป็นการขยายตัวในระยะสั้น จากแรงหนุนของสงกรานต์ โดยเฉพาะในกลุ่มการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค แต่กลุ่มสินค้าคงทน เช่น วัสดุก่อสร้างและรถจักรยานยนต์ ยังคงหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของกำลังซื้อ นอกจากนี้ในระยะยาวยังคงเผชิญแนวโน้มการจ้างงานใหม่และการลงทุนใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 50.3 ลดลงเล็กน้อยจาก 50.6 จากปริมาณคำสั่งซื้อและเร่งการผลิตสินค้าในเดือนมีนาคมที่ลดลงในเดือนเม.ย. และจำนวนวันทำงานที่ลดลง ขณะเดียวกันกลุ่มส่งออกมียอดคำสั่งซื้อใหม่ชะลอตัวลงจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ

น.ส.ปณิตา กล่าวว่า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค พบว่า ภาพรวมอยู่เหนือระดับค่าฐานและกลับมาปรับเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค โดยภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.6 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจาก 51.8 มีสงกรานต์เป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะเชียงใหม่ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล อย่างไรก็ตามผลเชิงบวกในเมืองรองยังไม่ปรากฏชัด ส่วนภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 51.4 เพิ่มขึ้นจาก 50.1 โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น พัทยา กับภาคการค้าและการบริการ ขณะที่ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 52.3 เพิ่มขึ้นจาก 51.3 โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจการเกษตรที่เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตนอกฤดูกาลเพาะปลูก นอกจากนี้การเดินทางที่เพิ่มขึ้นช่วยกระตุ้นยอดขายโดยเฉพาะของฝากและของที่ระลึก

สำหรับเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 51.6 เพิ่มขึ้นจาก 50.7 จากสงกรานต์ที่ส่งผลระยะสั้น ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและร้านอาหาร แต่กลุ่มสินค้าคงทน เช่น รถจักรยานยนต์และเฟอร์นิเจอร์ยังชะลอตัว ส่วนภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 51.1 เพิ่มเล็กน้อยจาก 50.9 โดยได้อานิสงส์จากการเฉลิมฉลองหลังศีลอด และสงกรานต์ ดีต่อภาคการบริการ และภาคการค้าที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการเกษตรมีทั้งยางพาราและปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาด แม้ราคาจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.3 ทรงตัวจากเดือนก่อน

หรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 54.4 จากระดับ 54.7 ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมีนาคม ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่อ่อนตัวลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของท่าทีรัฐบาล นอกจากนี้ หากการเจรจาขอผ่อนปรนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่ประสบผลสำเร็จ ภายในกรอบเวลา 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมนี้ ยิ่งจะซ้ำเติมความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ทั้งจากแรงกดดันของสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น และความสามารถในการแข่งขันของห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัวลง

น.ส.ปณิตา กล่าวว่า แม้ว่าหลายสาขาธุรกิจ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค จะได้รับอานิสงส์และปัจจัยบวกจากเทศกาลสงกรานต์ แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคแผ่วลงอย่างชัดเจน ประกอบกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ภาระหนี้สะสม และการที่อยู่ในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนซึ่งทำให้ผู้ปกครองต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้การดำเนินธุรกิจของ SME เป็นไปอย่างยากลำบาก ดังนั้น SME จึงต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐในหลายด้าน อาทิ การบรรเทาต้นทุนการผลิต การเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ มาตรการกระตุ้นการบริโภคที่ช่วยหนุนการใช้จ่ายในระยะยาว นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น การยกระดับขีดความสามารถของสินค้าและบริการไทยให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดแค่เพียงนักท่องเที่ยวจีน ทั้งนี้ สสว. ยังคงเดินหน้าโครงการและมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุน SME อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ SME Privilege ที่ร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายหน่วยงาน เพื่อส่งเสริมสิทธิประโยชน์ให้แก่ SME ทั้งด้านการขยายช่องทางตลาด การเข้าถึงแหล่งทุน และการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้มีความสามารถในการแข่งขัน ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านแอปพลิเคชัน SME Connext หรือสอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ ได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301