รัฐสภา – วันที่ 29 พฤษภาคม – สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2569 ว่าเหตุผลที่ไม่สามารถสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนี้ได้ เพราะรัฐบาลกำลังจัดงบช่วยเหลือ SMEs แบบล่าช้า ซ้ำซ้อน นิ่งเฉย ซ้ำเติม ทั้งที่ SMEs เจอปัญหาเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง หนี้ที่ตามหลังเพิ่มไวยิ่งกว่าจรวด ธุรกิจที่ทำไม่เห็นทางโต ขณะเดียวกันสินค้าต่างชาติ นอมินีก็เข้ามาแข่งแบบไม่เป็นธรรม สิ่งที่สะท้อนภาวะวิกฤตคือหนี้เสีย (NPL) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่งรายงานตัวเลขว่าธุรกิจขนาดใหญ่มีหนี้เสียอยู่ที่ 1% แต่หนี้เสียของ SMEs สูงถึง 7% ซึ่งสูงกว่าช่วงโควิดด้วยซ้ำ
สำหรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับ SMEs ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็งและแข่งขันได้ปี 2569 รวม 4,196 ล้านบาท ตนมองว่ามีปัญหา ได้แก่ “ความล่าช้า” โดยปี 68 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ของบ จากสภา 5,000 ล้านบาทเพื่อทำ Matching Fund เมื่อผ่านไปหนึ่งปี ประเสริฐ จันทรรวงทวง ซึ่งกำกับ สสว. ให้สัมภาษณ์ว่ากำลังทบทวนรูปแบบการใช้เงินว่าจะให้กู้ยืมอย่างไร นี่แสดงว่าผ่านไปหนึ่งปียังไม่ได้ใช้งบ แถมยังไม่รู้เลยว่าจะใช้อย่างไร และเมื่อต้นเดือนได้เชิญ สสว. มาให้ข้อมูลกับกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ หน่วยงานชี้แจงว่ากำลังพิจารณาเกณฑ์การให้กู้ยืมอยู่ คาดว่าเสร็จในเดือนกรกฎาคมปีนี้ นี่เท่ากับท่านเอาเงินไปดองไว้ปีครึ่ง แบบนี้เงินจะไปถึงมือประชาชนเมื่อไหร่ นี่คือค่าเสียโอกาสของ SMEs

ปัญหาต่อมา คือรัฐบาลใช้งบ “ซ้ำซ้อน” เพราะงบ SMEs ถูกกระจายอย่างน้อย 31 หน่วยงาน ทุกคนเอา SMEs มาเป็นเหตุผลของบ แต่สุดท้าย SMEs ที่ลำบากจริงๆ เข้าไม่ถึง คนที่เข้าถึงความช่วยเหลือก็มักเป็นรายเดิม คนหนึ่งเวียนหลายโครงการ นอกจากนี้การใช้งบก็ไม่ตอบโจทย์ เพราะสิ่งที่ SMEs ต้องการน้อยสุดคือฝึกอบรมระยะสั้น สิ่งที่ต้องการมากสุดคือขยายตลาด แต่รัฐบาลกลับเอางบมากสุดไปลงกับอบรมระยะสั้น ขณะที่การขยายตลาดดันเอางบไปลงน้อยสุด
สิทธิพล กล่าวว่า อีกโครงการมหากาพย์คือ SME ONE ID ที่ สสว. โฆษณาว่าจะเป็นศูนย์กลางช่วย SME เข้าถึงบริการของรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องลงทะเบียนซ้ำซ้อน แต่ความจริงมี SME เข้าระบบน้อยมาก จากเป้าหมายที่ระบุตอนของบว่า SMEs 3 ล้าน ผ่านมา 4-5 ปีเพิ่งได้แค่ 2 แสนราย ไม่ถึง 10% โดยโครงการนี้ของบตั้งแต่ปี 2564 เกือบ 50 ล้าน ปีนี้จะขออีก 40 ล้าน ซึ่ง SMEs ที่เข้ามาแล้วก็บอกไม่ได้ประโยชน์ ระบบเเย่ ลงทะเบียนยาก สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยไม่ต้องใช้งบเยอะ คือเป็นเจ้าภาพเชื่อมข้อมูลกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งมีฐานข้อมูลลูกค้ากว่า 8 แสนรายอยู่แล้ว รัฐบาลจะช่วย SMEs ที่เดือดร้อนได้ตรงจุด

ขณะเดียวกัน สสว. ยังจัดงบ SMEs แบบ One SIZE Fit All ทั้งที่ผู้ประกอบการ SMEs แต่ละขนาดมีความต้องการต่างกัน เช่นขนาดจิ๋วต้องการลดต้นทุน ขนาดเล็กต้องการพัฒนาทักษะ ขนาดกลางต้องการเงินทุน แต่รัฐยังคงจัดงบแบบ SME ทุกไซส์ต้องการแบบเดียวกัน
สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า ปัญหาที่สาม สิ่งที่ SMEs ต้องการรัฐบาลกลับ “นิ่งเฉย” จัดงบไม่ตอบโจทย์ทั้งใหม่และเก่า เช่น ภาษีทรัมป์ ธปท. บอกว่าในระยะเฉพาะหน้าจะกระทบ SMEs มากกว่า 5,000 กิจการ แรงงานหลายแสนคน แต่รัฐบาลไม่ทบทวนงบ 69 ทำให้โครงการก็เป็นโครงการเดิมที่ตั้งไว้ตั้งแต่ก่อนสหรัฐฯ ขึ้นภาษี หลายโครงการเป็นโครงการเหมือนปีก่อนๆ เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เมื่อถามไปว่ามีโครงการใดในปี 69 ที่ตอบโจทย์สงครามการค้าบ้าง คำตอบคือกรมฯ ไปคว้าโครงการที่เคยตั้งคำขอไว้อยู่แล้วก่อนเกิดภาษีทรัมป์ เป็นไปได้หรือที่โครงการเดิม ตัวชี้วัดเดิม จัดงบแบบเดิม กิจกรรมแบบเดิม จะช่วย SMEs ให้ปรับตัวภายใต้สงครามการค้าได้ แล้ว SME จะหวังพึ่งพาได้อย่างไร

งบอีกประเภทที่รัฐบาลควรไปดูคืองบเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) โฆษณาตัวเองว่ามีภารกิจกู้ชีพ SMEs ยุคดิจิทัล ซึ่งก็เห็นด้วย แต่ขอพูดถึงโครงการ Thailand Digital Valley ที่ก่อสร้างในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) วางแผนยิ่งใหญ่ จะให้เป็นซิลิคอลวัลเลย์ของไทย ของบตั้งแต่ปี 2562 ในปี 68 บอกจะขอ 808 ล้านบาทและขอเป็นปีสุดท้าย แต่ปีนี้ก็ยังขออีก 16 ล้านบาท โครงการนี้ DEPA ใช้เงินถึง 4,000 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 30% ของงบหน่วยงาน แต่ความน่าสงสัยคือปัจจุบันสตาร์ทอัพทำงานจากบ้านหรือที่อื่นกันแล้ว ตึกหรือสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ยังจำเป็นจริงหรือ
ประเด็นถัดมาคือโครงการนี้ล่าช้า ทั้งที่ต้องเสร็จในเดือนตุลาคม 68 แต่ 31 มีนาคมเพิ่งเสร็จไปครึ่งเดียว แถมมีการเปลี่ยนแปลงผู้ชนะเสนอราคาเป็นบริษัทอิตาเลียนไทย จากที่ลงพื้นที่เชื่อว่าไม่มีทางเสร็จใน 5 เดือนข้างหน้า ซึ่งได้คำตอบจาก DEPA ว่าบริษัทรับเหมาขาดสภาพคล่อง วงการสตาร์ทอัพฝากมาถึงรัฐบาลคือ ถ้าเอางบ 4,000 ล้านบาทนี้ไปให้สตาร์ทอัพ ไม่ใช่ก่อสร้าง ประเทศไทยอาจมี “ยูนิคอร์น” ที่ประสบความสำเร็จและมีมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นกว่าเดิมไปแล้ว จึงต้องถามว่าการสร้างตึกนั้น สตาร์ทอัพได้ประโยชน์จริงหรือ สตาร์ทอัพส่วนใหญ่เห็นว่าเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอย่างอื่น น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า

สิทธิพล กล่าวว่า หลายสิ่งที่รัฐบาลทำยิ่ง “ซ้ำเติม” ปัญหาให้รุนแรงขึ้น ที่ผ่านมา SME ถูกสินค้าต่างชาติถล่ม สงครามการค้าจะทำให้สินค้าจากทุกประเทศต้องหนีตายจากสหรัฐฯ มาที่ไทยมากขึ้น ผู้ประกอบการเชื่อว่าหลายสินค้ามีการทุ่มตลาดหรือขายต่ำกว่าทุน ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย เมื่อกันยายนปีก่อนสังคมตั้งคำถามเรื่องสินค้าต่างชาติเข้ามาทำร้ายผู้ประกอบการไทย รัฐบาลบอกว่าจะมีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด แต่จนถึงวันนี้ สิ่งที่รัฐบาลทำคือจัดอบรมผู้ประกอบการ 200 ราย อยู่ระหว่างให้คำปรึกษาฯ เพื่อขอใช้มาตรการ 9 สินค้า และอยู่ระหว่างพิจารณาข้อมูลคำขอให้ไต่สวน 6 กรณี สรุปคือแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการ SMEs ล้มหายตายจากจำนวนมาก
สิทธิพล อภิปรายสรุปว่า ดังนั้นรัฐบาลควรทบทวนการจัดงบเพื่อช่วยเหลือ SMEs เปลี่ยนเป็น 1) “รวดเร็ว” เลิกดองงบ เอาไปช่วยแก้หนี้ เติมทุนให้ SMEs โดยเร็วได้แล้ว 2) “ชัดเจน” กำหนดเจ้าภาพ ภารกิจให้ชัดเจน และทำให้ SMEs รายใหม่เข้าถึงความช่วยเหลือได้ 3) “ทันการณ์” ปรับปรุงโครงการให้ตอบโจทย์ความท้าทาย เช่น สงครามการค้า และความต้องการของ SME จริง ๆ และ 4) “ทันคู่เเข่ง” ใช้มาตรการทางการค้าให้เท่าทันคู่เเข่งเพื่อสร้างความเป็นธรรม ทบทวนความคุ้มค่าการใช้งบส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

