“รัศม์” ยัน กต.จัดสรรงบ 69 เพื่อรับมือโลก-ป้องผลประโยชน์ชาติ ชี้เร่งประสานเมียนมาแก้ปัญหาสารพิษน้ำกกแล้ว

315

กรุงเทพฯ, วันที่ 29 พ.ค. นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (ผู้ช่วย รมต.กต.) ชี้แจงถึงการอภิปรายของฝ่ายค้าน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 โดยยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำคำของบประมาณฯ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อรับมือกับสถานการณ์โลกที่ท้าทาย ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิเศรษฐศาสตร์ แม้โลกเปลี่ยน แต่การพิทักษ์ และส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยต้องเหมือนเดิม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตอบสนองประโยชน์ประเทศและประชาชน และยึดกฎหมายระหว่างประเทศไม่เป็นคู่ขัดแย้ง แต่เป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำเนินนโยบายอย่างสมดุล พร้อมสนับสนุนสันติภาพ และเป็นตัวเชื่อม หรือ Bridge Builder

ส่วนความขัดแย้งในเมียนมาที่กระทบต่อประเทศไทยนั้น นายรัศม์ ย้ำจุดยืนประเทศไทยว่า อยากเห็นเมียนมากลับคืนสู่ความสงบ และพัฒนาภูมิภาคนี้ไปด้วยกัน และไทยไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง และไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงของทุกกลุ่มในเมียนมา โดยสิ่งที่ไทยสามารถทำได้ คือ พยายามหาทางช่วยสนับสนุนให้ฝ่ายต่าง ๆ หันหน้ามาพูดคุยกันตามกระบวนการ Myanmar-led, Myanmar-owned คือ ฝ่ายต่างๆ ในเมียนมาจะต้องหาทางออกสำหรับอนาคตของประเทศกันเองเพื่อให้เกิดความสงบสุข การปรองดอง และเศรษฐกิจประเทศสามารถเดินหน้าได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ของไทย 

ผู้ช่วย รมต.กต. ยังย้ำซึ่งแนวทางดำเนินการกับเมียนมาทั้งการดำเนินการทางการทูตเชิงรุก และในระดับอาเซียน ซึ่งในระดับทวิภาคี กระทรวงมีงบประมาณ ที่จัดสรรไว้สำหรับการจัดประชุม เยือน และต้อนรับการเยือนทวิภาคี รวมถึงงบประมาณสำหรับสถานเอกอัครราชทูต เพื่อสื่อสารกับทางการเมียนมาในระดับต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทย และในระดับพหุภาคี กระทรวงได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการเข้าร่วม และการจัดประชุมพหุภาคี โดยไทยสนับสนุนบทบาทของอาเซียนและการดำเนินการของประธานอาเซียนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ ควบคู่กับการปรึกษาหารืออย่างสม่ำเสมอกับประเทศต่างๆ นอกอาเซียนและหน่วยงาน UN

ที่ผ่านมา ไทยได้ผลักดันการหารือระหว่างเมียนมากับประเทศเพื่อนบ้านกันมาแล้ว 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกระหว่างไทย-เมียนมา-อินเดีย ที่นิวเดลี ครั้งที่สอง ระหว่างไทย-เมียนมา-จีน-ลาว ที่เชียงใหม่ และครั้งที่ 3 ระหว่างเมียนมา-ไทย-จีน-ลาว-อินเดีย-บังกลาเทศ ที่กรุงเทพฯ โดยทุกประเทศที่เข้าร่วมชื่นชมบทบาทของไทย เพราะรัฐบาลเชื่อว่าการสร้างแพลตฟอร์มให้เมียนมาได้มีการริเริ่มพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ถึงแนวทางแก้ไขปัญหากับทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความร่วมมือพัฒนา จะนำไปสู่กระบวนสันติภาพได้ในอนาคต

นอกจากนี้ นายรัศม์ ยืนยันว่า รัฐบาล ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหามลพิษ หรือสารหนูแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งรัดแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยติดต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา เพื่อขอให้ฝ่ายเมียนมาดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว และจะมีการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับประเทศ และพื้นที่โดยเร่งด่วนด้วย

ส่วนการช่วยเหลือมนุษยธรรมในเมียนมานั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ประเทศไทยดำเนินการโดยตลอดผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างด้านสาธารณสุขและการศึกษาบริเวณชายแดน และผลกระทบแผ่นดินไหว ที่รัฐบาลได้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยได้สนับสนุนภารกิจการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เมียนมา โดยได้ส่งทีมเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะภัยพิบัติ (Thailand EMT) ของกระทรวงสาธารณสุขและทีมช่วยเหลือของกองบัญชาการกองทัพไทย ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เมืองมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยดำเนินการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2568 จนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2568