ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) บุกโรงไม้นอมินีทุนจีนลอบดำเนินกิจการ จ.พิษณุโลก ตรวจพบเลื่อยโซ่ยนต์เถื่อน – ก่อมลพิษกระทบชุมชน

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส.,พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา รอง ผบก.ปทส.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.ณัทกฤช น้อยคำปัน ผกก.4 บก.ปทส., พ.ต.ท.เอนก นาคธร รองผกก.4 บก.ปทส., พ.ต.ท.เกียรติพันธ์ เจริญชนิกานต์ รอง ผกก.4 บก.ปทส., พ.ต.ท.ธิติ เพชราวรรณ์ สว.กก.4 บก.ปทส., พ.ต.ท.ธนพล ยอดกัณหา สว.กก.4 บก.ปทส.พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามจังหวัดพิษณุโลก,จังหวัดนครสวรรค์, จังหวัดตาก

ร่วมกันจับกุม
1.นายธนาวุทธฯ อายุ 30 ปี
2.นางสาวเจียเหมยฯ
3.นายเชิงฉี
4.นางสาววันวิสาข์ฯ
5.บริษัทฯ ในฐานะนิติบุคคล
ข้อหา : พระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา73 ทวิ ฐาน “ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 53 ตรีหรือเป็นผู้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในใบอนุญาตหรือข้อกำหนดให้ปฏิบัติเพิ่มเติมตามมาตรา 58 ,พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. 2545 ตามมาตรา 4 ฐาน “ร่วมกันมีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ฐาน “ดำเนินกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่”

พร้อมตรวจยึดของกลาง
1.เลื่อยโซ่ยนต์ สีขาว-ส้ม พร้อมแผ่นบังคับโซ่(บาร์) และโซ่ ขนาดความยาว 36 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง
2.เลื่อยโซ่ยนต์ สีดำ-เทา พร้อมแผ่นบังคับโซ่(บาร์) และโซ่ ขนาดความยาว 23 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง
3.เลื่อยโซยนต์ดัดแปลงไฟฟ้าติดมอเตอร์ พร้อมแผ่นบังคับโซ่(บาร์) และโซ่ ขนาดความยาว 52 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง
4.เลื่อยโซ่ยนต์ พร้อมแผ่นบังคับโซ่(บาร์) และโซ่ ขนาดความยาว 18 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง
5.เลื่อยโซ่ยนต์ พร้อมแผ่นบังคับโซ่(บาร์) และโซ่ ขนาดความยาว 16 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง
6.บัญชีไม้ท่อนหรือไม้ที่ยังมิได้แปรรูป เล่มที่ 1/67 ชื่อผู้รับอนุญาตนายธนายุทธฯ
7.บัญชีรับและจำหน่ายไม้แปรรูปไม้ เล่มที่ 1/67 ชื่อผู้รับอนุญาตนายธนายุทธฯ
8.บัญชีแสดงสถิติไม้ท่อนและไม้แปรรูปไม้ เล่มที่ 1/67 ชื่อผู้รับอนุญาตนายธนายุทธฯ
สถานที่จับกุม โรงเลื่อยแห่งหนึ่ง ต.ชัยนาม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้จากหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พล.8 (น้ำยาง) และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติพิเศษป่าไม้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก เข้าตรวจค้นโรงเลื่อยแห่งหนึ่ง ต.ชัยนาม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ตามหมายค้นของศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 185/68
การเข้าตรวจค้นครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ว่า มีโรงงานแห่งหนึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยมีการเผาเศษไม้ส่งกลิ่นและฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง
จากการสืบสวนและตรวจสอบข้อมูลพบว่า โรงงานดังกล่าวเป็นโรงแปรรูปไม้วีเนียร์ ซึ่งจดทะเบียนโดย นายธนาวุทธฯ แต่แท้จริงแล้วกลับปล่อยให้นอมินีทุนจีนเช่าและดำเนินกิจการแทน โดยเฉพาะ นายเชิงฉีฯ และนางสาวเจียเหมยฯ ในนาม บริษัทฯ โดยมีการจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือน ซึ่งเข้าข่ายหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยคนต่างด้าว และอาจมีพฤติกรรมเข้าข่ายแฝงการถือครองกิจการโดยชาวต่างชาติอย่างไม่ถูกต้อง
ผลการตรวจค้นภายในโรงงานพบเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ 5 เครื่อง ไม่มีหลักฐานการได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน รวมถึงพบว่า ดำเนินกิจการโรงงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่มีใบอนุญาต และไม่จัดทำบัญชีไม้ตามที่กฎหมายกำหนด จึงได้ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ที่ร่วมกันกระทำความผิดที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้นในความผิดตามกฎหมาย ได้แก่ พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 73 ทวิ, พระราชบัญญัติควบคุมเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. 2545 มาตรา 4, พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
ภายหลังการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและส่งของกลางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อ โดยยืนยันว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการบังคับ ข่มขู่ หรือกระทำการโดยมิชอบ ทั้งนี้จะได้ดำเนินการขยายผลจับกุมตัวผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการต่อไป
ช่องทางการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พ.ต.ท.หญิง ภิ์ษัชกร เลิศวิลัยสว.(สอบสวน) กก.4 บก.ปทส. หมายเลขโทรศัพท์ 0931313946
“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”

