ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษา “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์” ประมาทเลินเล่อร้ายเเรง ไม่ตรวจสอบทุจริตฯ จีทูจี ชดใช้ค่าเสียหาย 1 หมื่น 28 ล้าน
ศาลฯพิพากษา “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์” ประมาทเลินเล่อร้ายเเรง ไม่ตรวจสอบทุจริตฯ จีทูจี ชดใช้ค่าเสียหาย 1 หมื่น 28 ล้าน เเต่สั่งกันทรัพย์สินร่วมกันให้อดีตสามี

เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ผู้สื่อข่าวไทยแทบลอยด์รายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อผ.163-166/2564 ระหว่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายอนุสรณ์ อมรฉัตร ผู้ฟ้องคดีที่ 1-2 กับนายกรัฐมนตรี ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ,ปลัดกระทรวงการคลัง,สำนักนายกรัฐมนตรี ,กระทรวงการคลัง ,กรมบังคับคดี ,อธิบดีกรมบังคับคดี ,และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-9
ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน 35,717,273,028 กรณีโครงการรับจำนำข้าวเปลือก กับชดใช้ค่าเสียหาย และเพิกถอนคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สิน รวมทั้งคำสั่งการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่1
และผู้ฟ้องคดีที่ 2 ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งปฏิเสธคำขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวม และให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิกันส่วนในฐานะเจ้าของรวม

โดยศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ การดำเนินการใด ๆ ในการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อขายทอดตลาด และเพิกถอนคำสั่งของกระทรวงการคลัง เรื่อง คำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวม ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง9 อุทธรณ์
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกแยกพฤติการณ์การกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (ประธาน กขช.) ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง การดำเนินการในส่วนของนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งไม่มีส่วนที่ต้องรับผิดทางละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง)
ส่วนที่สอง การดำเนินการในการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือก ซึ่งเป็นการกระทำทางปกครองแยกออกจากการดำเนินการในส่วนนโยบาย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ย่อมอยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ ตามม.4 แห่ง พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า ครม.มีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 นาปรัง ปีการผลิต 2555 นาปี ปีการผลิต 2555/56 และนาปี ปีการผลิต 2556/57 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน คือ (1) การตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ (2) การนำข้าวเปลือกไปจำนำและเก็บรักษาข้าวเปลือก (3) การสีแปรสภาพข้าวเปลือกและเก็บรักษาข้าวสาร และ (4) การระบายข้าว
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 11วรรคหนึ่ง (1 ) แห่ง พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ และยังเป็นประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ติดตาม กำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ และโครงการที่อนุมัติ ในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าว การที่สตง. และ ปปช.มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 สอดคล้องต้องกัน
โดยสรุปว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีปัญหาเกิดขึ้นก่อให้เกิดความสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมาก มีการทุจริตเชิงนโยบายเกิดขึ้นในหลายขั้นตอน ขอให้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะและข้อสังเกตต่อไปด้วย แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 มิได้ดำเนินการใดๆ ทั้งที่ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว และมิได้ติดตามให้คณะอนุกรรมการรายงานผลการดำเนินการให้ทราบว่า มีปัญหาในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามที่ได้รับรายงานหรือไม่ นอกจากนี้ ระหว่างการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555 ส.ส.ได้มีการตั้งกระทู้ถามผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2558 และมีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและคณะเมื่อวันที่ 26พ.ย. 2555 เรื่อง ปัญหาโครงการรับจำนำเกี่ยวกับกรณีเกษตรกรถูกโกงความชื้น
การที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นประธาน กขช. ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาลว่า มีปัญหาการทุจริตทุกขั้นตอน แต่มิได้สั่งการให้คณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่กำกับดูแลและควบคุมตรวจสอบการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกดำเนินการตรวจสอบว่ามีปัญหาการทุจริตหรือไม่ และรายงานให้สั่งการต่อไป จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่คำนึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอขององค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่กลับปล่อยให้การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ยังคงดำเนินการต่อไป จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ปล่อยปละละเลยไม่ใช้อำนาจหน้าที่ของตนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการทุจริต จึงเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการกระทำการทุจริตได้โดยง่าย อันถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ให้ได้รับความเสียหายตามมาตรา 420แห่ง ป.แพ่งและพาณิชย์
ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมกระทรวงการคลังเพียงใดเห็นว่า ความเสียหายเฉพาะในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ทราบปัญหาการทุจริตแล้ว แต่ไม่ได้มีการติดตามกำกับดูแล โดยเฉพาะในการติดตามดูแลหรือตรวจสอบการทุจริตตามสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะประธาน กขช. เข้าร่วมประชุม กขช. แค่เพียงครั้งเดียว จากพฤติการณ์ดังกล่าว จึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธาน กขช. ซึ่งมีหน้าที่ติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบเพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย โดยวิสัยของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า ควรที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏตามหนังสือทักท้วงของหน่วยตรวจสอบว่า มีความเสียหายเกิดขึ้นตามที่ได้รับรายงานหรือไม่ หรือติดตามดูแลการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐอย่างใส่ใจ
แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับเพิกเฉยหรือละเลย จนเกิดการทุจริตขึ้นในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ ส่งผลให้มีปัญหาการระบายข้าวไม่ทันต้องเก็บรักษาข้าวในคลังเป็นเวลานานจนข้าวเสื่อมคุณภาพและสูญเสีย อีกทั้งไม่คำนึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ การดำเนินการตามโครงการต่างๆ ของรัฐ รวมทั้งการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
พฤติการณ์ ดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้รับความเสียหาย จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่ง พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐเกิดจากการแอบอ้างทำสัญญาซื้อขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย จำนวน 4 ฉบับ มีความเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761
บาท เมื่อได้รับทราบปัญหาการทุจริตกลับไม่ดำเนินการตรวจสอบ ติดตาม หรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เกี่ยวกับปัญหาที่หน่วยตรวจสอบแจ้งให้ทราบ เพียงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบและดำเนินการต่อไป แล้วรอรายงานจากเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เมื่อได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่าไม่มีการทุจริตก็เชื่อรายงานดังกล่าว ทั้งที่แตกต่างจากผลการตรวจสอบของหน่วยงานตรวจสอบอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคน และเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธาน กขช.มีอำนาจตามกฎหมายในการระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่มิได้ดำเนินการอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ จึงสมควรกำหนดสัดส่วนความรับผิดของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 8 วรรคสี่ แห่ง พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยให้รับผิดในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายจากการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ คิดเป็นเงินที่ผู้ต้องรับผิด 10,028,861,880 บาท ดังนั้น คำสั่งกระทรวงการคลังเฉพาะส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาดในส่วนที่เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880 บาท อันเป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 57 แห่ง พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯที่ใช้บังคับในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน และเมื่อเป็นทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้มาภายหลังจากการที่อยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ฟ้องคดีที่ 2 โดยมีเจตนาเปิดเผยตั้งแต่เดือน พ.ย.2538 อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองยังได้มีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่อาศัยร่วมกันตลอดมาและมีเจตนาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกัน จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่มีส่วนในทรัพย์สินเท่ากันตามมาตรา 1357 แห่ง ป.แพ่งและพาณิชย์ แม้จะไม่ปรากฏชื่อผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ตาม ดังนั้นผู้ฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นผู้มีสิทธิขอกันส่วน ในทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9)
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 โดยปลัดกระทรวงการคลัง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ปฏิเสธการขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีที่ 2
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็น
1.ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880 บาท ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป
2.ให้เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7-9 ที่มีคำสั่ง ประกาศหรือการดำเนินการใด ๆ ในการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด อันเป็นการบังคับตามมาตรการทางปกครอง ตามมาตรา 57 แห่ง พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะในส่วนที่เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880 บาท ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป
3.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4เเละ6 ดำเนินการสั่งการเกี่ยวกับการขอกันส่วนทรัพย์สินที่ถูกยึดเพื่อนำมาขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ 2จำนวน 37 รายการ และแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 จัดทำบัญชีรับ-จ่าย เพื่อกันส่วนให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะเจ้าของรวม รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ทราบ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60วัน นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษา
คลิกอ่านคำพิพากษา ฉบับเต็มที่นี่

