รวบหนุ่มขับรถหวาดเสียวตรวจพบใช้ป้ายทะเบียนปลอม

393


กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป. ช่วยราชการ บก.ทล., พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม , พ.ต.อ.เอกนิรุจฒ์ วันสิริภักดิ์ รอง ผบก.ทล.,พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผกก.7 บก.ทล., พ.ต.ท.ฐิติวัสส์ แซมเขียว รอง ผกก.7 บก.ทล., พ.ต.ท.ธนาคาร จันทร์กระจ่าง รรท.รอง ผกก.7 บก.ทล.


เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ มีมุสิก สวญ.ส.ทล.1 กก.7 บก.ทล. พร้อมพวกเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ส.ทล.1 กก.7 บก.ทล. (พังงา, กระบี่, ภูเก็ต)
ร่วมกันจับกุม นายโพธิทัศฯ อายุ 46 ปี โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ใช้เอกสารราชการปลอม” พร้อมตรวจยึดของกลาง แผ่นป้ายทะเบียน (ปลอม) จำนวน 2 แผ่น,รถยนต์ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีออส เทา จำนวน 1 คัน สถานที่จับกุม บริเวณบนทางหลวง ต.เหนือคลอง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่


พฤติการณ์ กล่าวคือก่อนเกิดเหตุขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตรวจในพื้นที่รับผิดชอบ พบรถยนต์คันของกลางขับขี่ปาดไปมาในลักษณะอาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้ถนน จึงได้ให้สัญญาณสั่งให้หยุดรถเพื่อทำการตรวจสอบ ตรวจสอบพบข้อมูลป้ายทะเบียนที่ติดแสดงอยู่พบว่าไม่มีตำหนิสำคัญตามกรมการขนส่งทางบกกำหนดจึงเชื่อได้ว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่ทำปลอมขึ้น ตรวจสอบข้อมูลจากหมายเลขทะเบียนพบว่าหมายเลขตัวถังไม่ตรงกับรถยนต์คันที่ผู้ถูกจับขับขี่มา สอบถามผู้ขับขี่อ้างว่าได้มีคนรู้จักนำรถยนต์คันดังกล่าวมายกให้กับตนเพื่อเป็นการใช้หนี้แทนเงิน 70,000 บาท โดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่แท้จริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและจับกุมตัวพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เหนือคลอง จ.กระบี่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ และจะได้ติดตามเจ้าของกรรมสิทธิที่แท้จริงต่อไป


สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าตนได้รับรถยนต์คันดังกล่าวมาจากคนรู้จักเพื่อใช้หนี้แทนเงิน 70,000 บาท ทราบว่าเป็นรถหนีไฟแนนซ์แต่อ้างว่าไม่ทราบว่าแผ่นป้ายทะเบียนที่ติดอยู่เป็นแผ่นป้ายปลอม การใช้เอกสารราชการปลอมเป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท

    “การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”