คนเมืองหลวงต่างขวัญผวาไปตามๆกับเหตุแผ่นดินไหวที่หนักสุดถึงขั้นตึกถล่ม อาคารสูงสั่นไหว แม้แต่พื้นที่ราบอยู่ในอาการผวา จึงน่าจะเป็นอีกปัจจัยในการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจของประเทศดิ่งหนักลงไปอีก

แต่ยังมีความพยายามของนายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกรัฐมนตรีที่ได้รับโจทย์มาให้ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ดิ่งเหวมานานนับแต่เผด็จทหารครองเมือง ได้ผุดไอเดียซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคาร เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินที่สะสมมายาว ให้ผ่อนชำระใหม่แบบลดภาระและล้างเครดิตบูโรโดยไม่ใช่เงินของรัฐ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขานรับทันที พร้อม ยืนยันจะพยายามเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ก่อนเข้าสู่ไตรมาส 3 จะแก้หนี้ให้คนที่มีหนี้ไม่เยอะคาดว่าไม่เกินหนึ่งแสน
ขณะที่ประชาชนขานรับเช่นกัน โดยสะท้อนสวนดุสิตโพล สำรวจความเห็นของชาวบ้านจำนวน 1,153 คนมีหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบบอกว่าเห็นด้วย 62.19 เปอร์เซ็นต์ เพราะช่วยรวมหนี้ทั้งหมดมาไว้ที่เดียว ดอกเบี้ยถูกลง ช่วยให้คนมีหนี้สบายใจขึ้น
ถ้ามองถึงแนวทางการซื้อหนี้ จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ในการร่างแผนและออกมาตรการต่างๆ ถือว่าช้ามากเพราะทุกวันนี้ชาวบ้านอยู่แบบปากกัดตีนถีบ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย
ครั้นฟังแนวทางจากนายพิชัย ที่จะเข้าไปซื้อหนี้เสียจากธนาคาร เท่ากับเข้าไปอุ้มหรือจุนเจือธนาคารต่างๆทแต่ละปีฟันกำไรกันหลายหมื่นล้านอยู่แล้ว จะอ้างว่าจะช่วยให้ธนาคารเข้มแข็งเท่ากับไปเอื้อให้กลุ่มทุนใหญ่เพราะแต่ละธนาคารล้วนแต่มีนายทุนใหญ่ทั้งของไทยและต่างชาติถือหุ้นรอเงินปันผลแบบสบายใจเฉิบ
“จอมมารน้อย”แม้ความรู้ทางเศรษฐกิจแค่หางอึ่ง ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ เพราะจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับระบบของธนาคารเกี่ยวกันหนี้เสีย ธนาคารมีวิธีบริหารจัดการอยู่แล้วโดยเฉพาะกับชาวบ้านระดับกลางถึงระดับล่าง เมื่อลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายเงินชำระหนี้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ธนาคารจะส่งเรื่องให้ทนายความดำเนินการทวงหนี้ทั้งยื่นจดหมายท้วงหนี้และฟ้องศาล ลูกหนี้ส่วนใหญ่เมื่อได้รับหมายศาลจะไปเจรจา โดยศาลเป็นผู้ไกล่เกลี่ย สามารถลดหนี้ได้จำนวนมาก บางกรณีลดทั้งต้นทั้งดอก แล้วทยอยผ่อนชำระในราคาที่ไม่สูงหนัก ถ้าลูกหนี้บางคนไม่มีปัญญาจ่ายจะไม่เดินทางไปขึ้นศาล รอที่จะให้ทางธนาคารยึดทรัพย์สินที่ไปค้ำไว้แทน ถ้าไม่มีทรัพย์สิน ทางธนาคารจะส่งเจ้าหน้าที่ไปทวงหนี้เอง ถ้ารัฐบาลเข้าไปซื้อหนี้จะเข้าเข้าทางธนาคารสามารถลดภาระส่วนนี้ได้แล้วฟันกำไรแบบเต็มคราบ
ถ้ารัฐบาลคิดจะช่วยเหลือชาวบ้านที่เป็นหนี้ธนาคารหรือสถาบันการเมืองจริง ทำได้ไม่ยากเพียงแค่หาแนวทางลดค่าครองชีพให้กับประชาชนแบบระยะยาว สามารถเพิ่มเงินในกระเป๋าได้ด้วย
ขั้นแรก หาแนวทางลดราคาพลังงานไฟฟ้า แก๊สและน้ำมันทุกชนิด สามารถทำได้อยู่แล้วอย่างกรณีลดราคาค่าไฟฟ้า นายทักษิณพูดว่าสามารถลดค่าไฟให้เหลือ 3 บาทกว่า แสดงว่าทำได้ถ้าทำไม่ได้นายทักษิณ คงจะไม่พูดออกมา
กรณีลดราคาน้ำมันต้องทำได้เช่นกันเพราะล่าสุดนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากากระทรวงพลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.)ประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่า กบน.มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง สำหรับกลุ่มน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง 1 บาท/ลิตร ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน
แค่เพียงวิธีเดียวสามารถที่จะลดราคาน้ำมันลงได้แล้ว 1 บาท ถ้าหาแนวทางอื่นมาประกอบด้วยคงลดได้มากกว่านี้แน่นอน เพียงแต่นายพีระพันธุ์กล้าพอที่จะเดินหน้าสู้ให้สมกับราคาที่ประกาศไว้เมื่อต้นปี 2567 จะลุย”รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง”พลังงาน หรือไม่ ? เพราะที่ผ่านมาทำได้แค่ขี่ม้าเลียบค่ายเท่านั้น
หรือกรณีลดราคาค่าไฟฟ้า รัฐบาลสามารถทำได้เช่นกัน เพราะถ้าทำไม่ได้นายทักษิณ คงไม่ประกาศออกมา เพียงแต่รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่กล้าแตะ เพราะเกรงว่าบรรดานายทุนพรรค ชนชั้นนำและนักการเมืองที่ถือหุ้นจะขาดทุนกำไร
ถ้ารัฐบาลกล้าพอที่จะประกาศลดราคาพลังงานทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า และแก๊ส ให้ถูกลง สามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ทั่วประเทศ ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคถูกลงด้วยเพราะต้นทุนลดลง แต่ถ้าสินค้าประเภทนี้ไม่ลดลงรัฐบาลมีมาตรการที่จะจัดการอยู่แล้ว
เมื่อรายจ่ายลดลงจะไปเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชนโดยอัตโนมัติ สามารถนำไปชำระหนี้สินให้กับธนาคารหรือหนี้ต่างๆได้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าชาวบ้านระดับกลางถึงล่างมีความซื่อสัตย์ที่จะใช้หนี้เหนือพวกร่ำรวยที่ติดหนี้แล้วไม่ยอมจ่าย ซึ่งแนวทางลดค่าครองชีพด้วยการลดราคาพลังงาน”จอมมารน้อย”มั่นใจว่าเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน เพราะจะทำให้นายทุนใหญ่ทั้งหลายขาดทุนกำไรและพวกนายทุนคงไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน
จึงเชื่อได้ว่าต่อให้10 ทักษิณหรือ 10 พีระพันธุ์ เป็นได้แค่ขายฝัน !!!


