“โรม” ชี้ “ทักษิณ” ได้กลับไทบเพราะดีลแลกประเทศ เชื่อนายกฯก็รู้เห็นและเป็นประจักษ์พยาน อำพรางให้บิดาได้รับอภิสิทธิ์ชน ใช้เส้นสายปกครองบ้านเมือบแลกกับผลประโยชน์ครอบครัว ยังอ้างสถาบันฯเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ มองเป็นกระทำความผิดครบองค์ประกอบฐาน “อั้งยี่ซ่องโจร”
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันที่สองนี้ “ปมอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร พักชั้น 14 ในช่วงที่ถูกคุมขัง เป็นการใช้อภิสิทธิ์เหนือกฎหมายหรือไม่ เมื่อเทียบกับนักโทษคนอื่น” เป็นประเด็นที่นายรังสิมันต์ โรม นำมาอภิปราย โดยอ้างว่านายกฯเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นทุกอย่าง จะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด จึงไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป เพราะนายกฯเห็นประโยชน์แก่บิดาตนเองและครอบครัวเหนือผลประโยชน์ส่วนรวม
ไล่เรียงเหตุการณ์..การให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ก่อนที่นายทักษิณจะกลับไทย 2 วันว่าสุขภาพแข็งแรงดี โดยเฉพาะวันเดินทางถึงไทย 22 สิงหาคม 2566 ที่ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาสุขภาพอย่างไร พร้อมกับตั้งโจทย์หาคำตอบการกลับประเทศไทยของนายทักษิณหลังจากลี้ภัยในต่างประเทศนานถึง 17 ปี โดยอ้างว่าเป็นเพราะ “ดีลลังกาวีหรือไม่”
ที่มีบุคคลยื่นข้อเสนอโมเดลการกลับไทยของนายทักษิณโดยไม่ต้องถูกคุมขังเรือนจำแม้แต่วันเดียว แต่ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจในห้องพิเศษ จนกลายเป็น “ดีลแลกประเทศ” ผ่านการขานรับการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว โดยนายรังสิมันต์ออกตัวว่า..แม้ครั้งนั้นจะยังไม่ดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่ก็เป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเอื้อให้นายทักษิณชิน วัตรพักที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ต่างได้รับการปูนบำเหน็จหรือการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ดิบได้ดี จึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าเป็นการตอบแทน ทางการเมืองแก่บุคคลที่ให้ความช่วยเหลือ
และตลอดนายทักษิณเข้ารักษาตัวโรงพยาบาลตำรวจไม่มีข่าวหรือข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาจนถูกตั้งข้อสังเกตว่า “ป่วยทิพย์” จึงต้องการให้นายกฯชี้แจง ว่าพ่อของนายกฯป่วยเป็นอะไร หยิบยกว่าการผ่าตัดไหล่ไม่ใช่อาการป่วยเร่งด่วนที่ต้องเข้าพักรักษาในโรงพยาบาล
“เรื่องนายกฯปล่อยให้นายทักษิณเข้ารักษาตัวการผ่าตัดหมายความว่าไม่ได้ป่วยในภาวะที่ร้ายแรงขนาดต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ใช่หรือไม่” นายรังสิมันต์โรมกล่าว
นายรังสิมันต์อ้างอิงข้อมูลว่า ระหว่างนายทักษิณพักรักษาตัวนั้น มีการนำมือถือเข้าไปใช้ซึ่งผิดกฎหมาย จึงถามว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำไปให้หรือไม่ เพราะยังเป็นนักโทษที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรือนจำ ไม่ได้มีอิสระการใช้มือถือ ซึ่งการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เชื่อว่าอาจจะไม่ได้ใช้ในโซเชียลมีเดียเท่านั้น เพราะเป็นไปได้ที่ใช้สั่งเรื่องการเมืองด้วยหรือไม่
“นายกรัฐมนตรีไปเกี่ยวข้องกับนักโทษแหกคุก อ้างว่าจะนำไปรักษาตัวชั้น14 อ้างว่าป่วยเข้าขั้นวิกฤต แต่ไม่มีตรงไหนวิกฤติ ท่านนายกฯมีส่วนรู้เห็นต่อการปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้าพบบิดา” นายรังสิมันต์กล่าว
สส. พรรคประชาชนยังตั้งคำถามถึงเหตุผลการได้รับพักโทษ และยังได้เดินทางไปต่างจังหวัดได้
“นายกรัฐมนตรีรู้เห็นทุกอย่าง ท่านอำพรางเพื่อให้นายทักษิณได้รับสิทธิเหนือผู้อื่นกับเรื่องแค่นี้ยังโกหก แล้วจะให้สภาอย่างนี้เชื่อถือและไว้วางใจได้อย่างไร ท่านทราบดีว่าพ่อของนายกฯไม่ได้เป็นอะไร และการยกโทษเป็นการช่วยเหลืออดีตนายกฯ ท่านได้กลายเป็นนายกฯ จอมหลอกลวง เป็นหัวเรือใหญ่ของคนสำคัญของการปฎิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบนี้ เพื่อสร้างระบบอภิสิทธิ์ชน ที่สามารถลอยหน้าลอยตาเหนือกฎหมายได้” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวในช่วงท้ายว่านายกรัฐมนตรี กระทำความผิดครบองค์ประกอบฐาน “อั้งยี่ซ่องโจร” ซึ่งปกปิดการกระทำความผิดชอบด้วยกฎหมายโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ชี้กรณีชั้น 14 ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ชี้เป็นความพังทลายของหลักนิติรัฐ เพราะเป็นความสุดสิ้นของกติกาบ้านเมืองที่ใช้เส้นสายปกครองบ้านเมืองด้วยผลประโยชน์ ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ครอบครัว เป็นความเลวร้ายที่สุดของการเมืองการปกครองในยุคนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร”
เมื่อสังคมตราหน้าว่าทำผิดกฏหมายมีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์สุจริต นายกรัฐมนตรีกลับไม่ยอมรับความผิด ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ขณะเดียวกันเมื่อสังคมกล่าวหาว่านายกฯและบิดามากขึ้น นายกรัฐมนตรี กลับปล่อย ให้บิดาแอบอ้างพระมหากรุณาที่คุณเป็นเกาะกำบังการกระทำความผิดของตัวเอง เพื่อให้ลอยตัวเหนือการตรวจสอบ
“นายกรัฐมนตรีและครอบครัวไม่ได้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่อ้าง ท่านรู้ดีว่าการอ้างแบบนี้จะทำให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน การโหนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อให้การตรวจสอบเรื่องวันนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดย และขอย้ำกับนายกรัฐมนตรีว่าสาเหตุที่บิดาของท่านไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวไม่ใช่เพราะบิดา แต่เพราะการกระทำที่ผิดกฎหมายดีลแลกประเทศ” นายรังสิมันต์กล่าว
ทั้งนี้ตลอดกว่า 2 ชั่วโมงการอภิปรายของนายรังสิมันต์ มี สส. พรรครัฐบาลเพื่อไทย และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะตลอด ทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่งในฐานะ ประธานในที่ประชุมขอให้วิปทั้ง2 ฝ่ายควบคุม ไม่เช่นนั้นเวลาอภิปรายจะไม่เพียงพอเสร็จสิ้นจบในวันนี้