“ หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งให้ปราบปรามจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ทำให้เห็นบรรยากาศการแถลงผลจับกุมอย่างคึกคัก ทั้งจากตำรวจ ที่เริ่มจับกุมอย่างต่อเนื่องทั้งในภูมิภาคและนครบาล เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง“

ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร แสดงถึงความมุ่งมั่นว่ารัฐบาลเอาจริง ด้วยการเดินทางไปแถลงผลจับกุมด้วยตัวเอง เมื่อวันที่ 18 มีนาคม หลังตำรวจนครบาลนำกำลังเข้าจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมส่งออกจำหน่ายในเครือข่ายกว่า 100 เครือข่ายทั่วประเทศ โดยตำรวจลุยค้น 9 จุดพบของกลาง 5 จุด ยึดของกลางทั้งหมด 260,000 ชิ้นมูลค่ากว่า 130 ล้านบาท เก็บซุกอยู่ในโกดังพื้นที่ อ.บางทอง จ.นนทบุรี อยู่ไม่ห่างจากโรงพักบางบัวทอง เท่าใดนัก
ถัดมาเพียง 1 วัน เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี รวมกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ยึดตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 4 ตู้ ตรวจพบของกลางบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 120,000 ชิ้น
ซึ่ง นายดิเรก คชารักษ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร บอกว่า ตรวจพบว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้านำเข้าจากประเทศจีน เมื่อต้นเดือนมกราคม กำลังสืบสวนตัวแทนบริษัทตัวแทนชิปปิ้งว่าเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าหรือไม่ ลักษณะการลักลอบจะนำบุหรี่ไฟฟ้าซุกซ่อนไว้ช่วงลึกของตู้คอนเทนเนอร์ยากต่อการตรวจสอบ ทางดีเอสไอได้รับเบาะแส จึงประสานให้ตรวจสอบ
หากย้อนดูผลจับกุมนับแต่ น.ส.แพทองธาร สั่งการเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ดำเนินการในวันที่ 26 กุมภาพันธ์-18 มีนาคม รวมเวลา 21 วัน จะพบว่าจับกุมได้จำนวน 1,741 คดี ผู้ต้องหา 1,789 คน ของกลาง 1,285,024 ชิ้น มูลค่า 231,881,074 บาท เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ
เมื่อย้อนดูการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าจะพบว่าแพร่หลายมากในยุคที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีรัฐมนตรีและนักการเมืองสูบกันมาก มีรัฐมนตรีบางคนสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเปิดเผย ทั้งที่เป็นสินค้าผิดกฎหมายและห้ามนำเข้าประเทศ
ห้วงเวลานั้นมาถึงปัจจุบันจะพบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่นิยมของวัยรุ่น คนวัยทำงาน ข้าราชการ และนักการเมือง ตามสถานบันเทิงจะพบว่านักท่องราตรีทั้งหลายต่างมีบุหรี่ไฟฟ้าสูบกันอย่างเกลื่อนกราด เสมือนเป็นของถูกกฎหมาย และจำหน่ายอย่างเปิดเผยเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ แม้แต่หน้าโรงเรียนระดับประถมศึกษามีจำหน่าย
หรือในรัฐสภา สถานที่ของผู้ทรงเกียรติ มี สส.ยืนสูบบุหรี่ไฟฟ้าแบบหน้าตาเฉย เย้ยกฎหมาย มีการถ่ายรูปออกมาประจานสังคม ดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาว่าทำผิดกฎหมาย เพราะคงรู้ว่าไม่มีใครกล้าที่จะกุมดำเนินคดี เพราะมีสิทธิพิเศษ
ยิ่งเห็นข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ รู้สึกตะลึง เพราะในปี 2567 นักเรียนทั่วประเทศกว่า 6.33 ล้านคน มีนักเรียนสูบบุหรี่ไฟฟ้าและติดบุหรี่ไฟฟ้า 20 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นนักเรียน 1.26 ล้านคน
สำหรับกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าระบุว่าผู้นำเข้าจำคุกไม่เกิน 10 ปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้าหรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ครอบครองจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของมูลค่าสินค้าหรือทั้งจำทั้งปรับ และ สูบบุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะ/เขตปลอดบุหรี่ปรับไม่เกิน 5,000 บาท
จากข้อมูลที่นำเสนอพอสะท้อนได้ว่าสังคมอยู่กันแบบไร้ขื่อแป อะไรที่ผิดกฎหมายแต่เมื่อประโยชน์เอื้อกัน ถูกปล่อยปละเลย อย่างบุหรี่ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี หรือข้าราชการที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต่างปล่อยผ่านให้ค้าขายกันอย่างเสรี โดยผู้นำเข้าและผู้ค้าจะทำหน้าที่จ่ายส่วยหรือจ่ายใต้โต๊ะ
ผลการปล่อยเลยตามเลยโดยมีส่วยติดปลายนวม ทำให้เกิดปัญหาในสังคมจนเกินจะเยียวยา เพราะเยาวชนของชาติกว่า 1.26 ล้านคน ติดบุหรี่ไฟฟ้า กระทั่งเกิดข่าวว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาที่บุรีรัมย์ป่วยหนักผลตรวจของหมอว่าว่าปอดหายไป เพราะสูบบุหรี่ไฟฟ้ารัฐบาลจึงตื่นตัวปราบปรามอย่างจริงจัง
ซึ่งในความเป็นจริงต้องเป็นหน้าที่ของข้าราชการไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ฝ่ายปกครอง ดีเอสไอ ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ต้องเร่งปราบปรามโดยไม่ต้องรอให้นายกรัฐมนตรีสั่งการ แต่ที่ผ่านมากลับเกียร์ว่าง แสวงผลประโยชน์ ปล่อยให้คนในสังคมถูกทำร้าย แต่ยังนั่งรับเงินเดือนแบบเต็มๆ แถมเกษียณอายุยังรับบำนาญจนตายแบบสบายใจเฉิบ
ดังนั้นปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นแรงต่างด้าวเถื่อนเกลื่อนเมืองที่รุกคืบยึดธุรกิจคนไทย กลุ่มจีนเทา ธุรกิจผิดกฎหมายทุกชนิดหรือ แก๊งค้ายาเสพติดที่มีอยู่เกลื่อนเมือง ล้วนแต่จะนำประเทศไปสู่ความวิบัติทั้งสิ้น เชื่อคนไทยไม่คาดหวังว่าข้าราชการไทยจะช่วยแก้ปัญหาอย่างจริงจังแล้ว เพราะส่วนใหญ่นั่งทับผลประโยชน์อยู่ทั้งสิ้น
ถ้าข้าราชการยังดำรงตนแบบต้องรอหัวขยับหางถึงกระดิก คำพูดที่มักพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า ” เกียรติศักดิ์ ศักดิ์ศรีของข้าราชการคือเกียรติแห่งการรับใช้ชาติ บ้านเมือง และประชาชน” เก็บใส่ลิ้นชักไปเถอะ เพราะแค่บทบาทการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าพอเป็นดัชนีชี้วัดได้แล้วว่ามีเกียรติยศและศักดิ์ศรีแค่ไหน!!!
