ตำรวจCIB ทลายขบวนการ “โจรกรรม-ฟอกขาวรถ”พบเงินหมุนเวียน40ล้านบาท

87

ตำรวจ CIB ทลายขบวนการ “โจรกรรม-ฟอกขาวรถ”ตระเวนเช่ารถแล้วเชิดหนี ก่อนปลอมเอกสารเจ้าของรถ ยื่นแจ้งเปลี่ยนทะเบียน เพื่อฟอกขาวรถที่ถูกขโมยให้กลายเป็นรถถูกกฎหมาย พบเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาท

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล., พ.ต.อ.โอฬาร เอี่ยมประภาส, พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม รอง ผบก.ทล. และ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง.ผบก.ป. ช่วยราชการ รอง ผบก.ทล. ได้สั่งการให้ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง นำโดย พ.ต.อ.ภคพล สุชล ผกก.2 บก.ทล., พ.ต.ท.อุดมศักดิ์ สุวรรณแสง, พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ งานแฉ่ง รอง ผกก.2 บก.ทล., พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ อำไพจิตร์ สวญ.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล., ว่าที่ พ.ต.ต.ศรัณยพงศ์ อ่อนสิงห์ สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล., พ.ต.ท.กฤตย์ ธีรเวศย์สุวรรณ สวญ.ส.ทล.2 กก.2 บก.ทล., ว่าที่ พ.ต.ท.วรฉัตร ฉลวยแสง สว.ส.ทล.2 กก.2 บก.ทล., พ.ต.ท.ทศพล กิตติลาภ สวญ.ส.ทล.3 กก.2 บก.ทล., ว่าที่ พ.ต.ท. พุทธางกูร เรืองธรรม สว.ส.ทล.3 กก.2 บก.ทล., ว่าที่ พ.ต.ท.กล้า สมบัติพิบูลย์ สว.ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล. และ พ.ต.ต.โจ เสาร์ประโคน สว.ส.ทล.6 กก.2 บก.ทล. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงในสังกัด กก.2 บก.ทล.

เปิดปฏิบัติการจับกุมขบวนการฟอกขาวรถยนต์ที่ได้มาจากการขโมยรถเช่า ด้วยการปลอมแปลงเอกสารราชการ ตบตาเจ้าหน้าที่เพื่อขอเปลี่ยนเลขทะเบียน เปลี่ยนจากรถที่ผิดกฎหมายให้กลายเป็นรถถูกกฎหมาย ก่อนจะประกาศขายผ่านโซเชียลมิเดีย โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 8 ราย (จากผู้ต้องหาทั้งหมด 9 ราย) โดยกลุ่มผู้ต้องหามีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ดังนี้

กลุ่มตัวการ (Master Mind) ทำหน้าที่สั่งการและเป็นนายทุน
(1) น.ส.ภัทราดา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี
(2) นาย ธราเทพ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี

กลุ่มที่ทำหน้าที่โจรกรรมรถ
(3) นายโชคชนะ (สงวนนามสกุล) อายุ 66 ปี
(4) น.ส.รำไพ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี
(5) นายวรุฒ (สงวนนามสกุล) *ยังไม่ถูกจับกุม อายุ 26 ปี

กลุ่มที่ทำหน้าที่ปลอมและใช้เอกสารราชการฯ ในการฟอกขาวรถที่ได้มาจากการโจรกรรมให้กลายเป็นรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย

(6) น.ส.รัตนาภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี
(7) นายสิปปวินฬ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี

ส่วนที่ทำหน้าที่โพสต์ประกาศขายรถที่ฟอกขาวแล้วลงในโซเชียลมิเดีย

(8) น.ส.รัมภ์วิริน (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี

ส่วนทำหน้าที่รับ-ส่งรถที่ได้มาจากการโจรกรรม (นักบิน)

( 9) นาย ไชยวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี
โดยผู้ต้องหาทั้ง 9 รายถูกดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันยักยอกหรือรับของโจร, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานฯ, แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ” ตามหมายจับของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงวันที่ 17 มีนาคม 2568

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มี นายโชคชนะฯ, น.ส.รำไพฯ และ นายวรุฒฯ ซึ่งเป็นกลุ่มคนร้ายที่ทำหน้าที่ขโมยรถเช่า ทำทีติดต่อขอเช่ารถจากบริษัทของ น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย ตั้งอยู่ใน จ.ฉะเชิงเทรา แต่เมื่อถึงกำหนดคืนรถ น.ส.เอ ผู้เสียหายไม่สามารถติดต่อกลุ่มคนร้ายได้ และพบว่าสัญญานจีพีเอสถูกตัดไป จึงเชื่อว่ารถถูกขโมยอย่างแน่นอนและได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.แสนภูดาษ เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุขโมยรถ

ต่อมา วันที่ 7 มกราคม 2568 น.ส.เอ ผู้เสียหาย ได้ตรวจสอบข้อมูลรถยนต์ผ่าน แอพพลิเคชั่น “ทางรัฐ” พบว่า รถคันดังกล่าวได้มีการแจ้งเปลี่ยนทะเบียนรถ จากหมายเลขทะเบียน กบ 2812 ฉะเชิงเทรา ไปเป็น หมายเลขทะเบียน กอ 5657 นครปฐม ผู้เสียหายจึงได้โทรประสานขอความช่วยเหลือมายังตำรวจทางหลวง ผ่านสายด่วน 1193 เพื่อขอให้ช่วยติดตามรถคันดังกล่าว ซึ่งจากการประสานความร่วมมือจากกรมการขนส่งทางบก ทำให้ทราบว่า เอกสารทั้งหมดที่กลุ่มคนร้ายใช้ยื่นเพื่อขอเปลี่ยนเลขทะเบียนรถเป็นปลอมทั้งสิ้น

ต่อมา วันที่ 8 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ตรวจพบว่า รถยนต์คันดังกล่าว (ภายหลังจากเปลี่ยนป้ายทะเบียน) ได้ออกจาก จ.นครปฐม มุ่งหน้าขึ้นเหนือ จึงได้ประสานสกัดรถยนต์คันดังกล่าวได้ที่ จ.ตาก จากการตรวจสอบ พบนายบี (นามสมมติ) เป็นผู้ขับขี่ รับว่ารถคันดังกล่าว นายบี ได้เห็นการประกาศขายผ่านโซเชียลมิเดีย โดยเป็นการขายพร้อมเล่มคู่มือจดทะเบียน ตนจึงเชื่อว่าเป็นรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้ติดต่อขอซื้อมาในราคา 300,000 บาท และได้เดินทางไปรับรถยนต์คันดังกล่าวมาจากปั้มนน้ำมันแห่งหนึ่งจาก จ.สุพรรณบุรี ก่อนที่จะถูกสกัดโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้นำรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมและเชิญตัวนายบีเดินทางกลับมาที่สถานีตำรวจทางหลวงนครปฐม เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

จากการสืบสวนทำให้ทราบว่าขบวนการฟอกขาวรถยนต์ที่ได้มาจากการขโมยรถเช่ากลุ่มนี้มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ได้แก่กลุ่ม 1) กลุ่ม Master Mind ทำหน้าที่สั่งการและเป็นนายทุน 2) กลุ่มที่ทำหน้าที่ขโมยรถเช่า 3) กลุ่มที่ทำหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารเพื่อใช้ยื่นขอทะเบียนใหม่พร้อมกับเล่มคู่มือจดทะเบียน (การฟอกขาวรถยนต์ที่ถูกขโมยมา) 4) ส่วนที่ทำหน้าโพสต์ขายรถยนต์ที่ฟอกขาวเรียบร้อยแล้วในโซเชียลมิเดีย 5) ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นนักบิน รับส่ง-รถที่ได้มาจากการโจรกรรม

จากนั้น ในวันที่ 17 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กก.2 บก.ทล. ร่วมกับ พนักงานสอบสวน สภ.แสนภูดาษ ได้ทำการสืบสวนและรวมรวบพยานหลักฐาน จนสามารถยื่นคำร้องขอหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย ต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา และในวันที่ 18 มีนาคม 2568 ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พ.ต.อ.ภคพล สุชล ผกก.2 บก.ท.นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กก.2 บก.ทล. กว่า 30 นาย เข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด โดยผู้ต้องหาส่วนใหญ่ให้การรับสารภาพ โดยให้การว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมากลุ่มคนร้ายได้ทำการฟอกขาวรถยนต์ที่ได้มาจากการขโมยโดยเฉลี่ยเดือนละประมาณ 4 คัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาท จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่ง พนักงานสอบสวน สภ.แสนภูดาษ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจทางหลวงเตือนภัย มิจฉาชีพมีลักษณะการทำงานและรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ตลอดจนประชาชนผู้ครอบครองรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ต้องใช้ความระมัดระวังในการทำสัญญาเช่าหรือขาย ต้องทำการตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนและความถูกต้องของคู่สัญญาให้ถี่ถ้วน ประกอบกับการสอบถามลักษณะและเงื่อนไขการใช้งานรถยนต์หรือรถจักรยายนต์ว่า ใช้ในเขตพื้นที่ใดบ้างตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่เหมาะสม ทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่า และขอย้ำเตือนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะเป็นการเอาเปรียบและกระทำความผิดในการเช่า ซื้อ หรือจำนำรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมาย การโอนย้ายหรือขอทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์โดยใช้เอกสารปลอม หรือแก้ไขหมายเลขเครื่องยนต์ ซึ่งมีโทษสูงสุดถึง 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท หากผู้ใดพบเห็นหรือทราบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1193