ที่รัฐสภา วันที่ 10 มี.ค. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ตอบกระทู้ถามของสมาชิกวุฒิสภา ถึงผลดี และผลเสีย ของการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว หรือ BRICS ว่า ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการทูตเศรษฐกิจของไทย เพื่อรักษาผลประโยชน์ประเทศ ทั้งการเพิ่มความสามารถการแข่งขัน การเพิ่มบทบาทประเทศไทยให้อยู่ในสายตาประเทศต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพ สามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีบนเวทีระหว่างประเทศ เพราะ BRICS เป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ มีบทบาทสำคัญ เสริมสร้างประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่ง และพยายามร่วมกันขับเคลื่อนประเทศกำลังพัฒนา จากความท้าทายภูมิรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ประเทศมหาอำนาจ การพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ทั้งปัญญาประดิษฐ์ ความมั่นคงไซเบอร์ ความมั่นคงพลังงาน สังคมสูงอายุ ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทย กระชับความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ไม่เลือกข้าง ทั้งทวิภาคี และพหุภาคี โดยหาความร่วมมือผ่านกรอบความร่วมมือที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้ประเทศ
นายมาริษ ยืนยันว่า การเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วน BRICS จึงมีความเหมาะสม และหุ้นส่วน BRICS เป็นการร่วมกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เป็นตลาดใหญ่ มีศักยภาพสูง สามารถสร้างพลวัตรให้ประเทศกำลังพัฒนาได้ และประเทศไทย ก็มีเป้าหมายร่วมกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในการผลักดันให้ระบบพหุภาคีโลก เน้นน้ำหนักที่ประเทศกำลังพัฒนามาขึ้น ซึ่งเป็นผลประโยชน์สำคัญของไทย จะต้องถ่วงดุลระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา ให้สอดคล้องกับการพัฒนาโลก เพื่อให้ผลประโยชน์มีความสมดุล
รมว.ต่างประเทศ ยังยืนยันด้วยว่า การตอบรับเข้าร่วมการประชุมหุ้นส่วนกลุ่ม BRICS จากรัสเซียนั้น กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กต. ได้หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันแล้ว ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่า การตอบรับดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนารมย์ฝ่ายเดียวของประเทศไทย ไม่ได้มีผลบังคับ ดังนั้น หนังสือตอบรับดังกล่าว จึงไม่ถือเป็นสนธิสัญญา และไม่เข้าเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ไม่ต้องขอมติจากรัฐสภา

นอกจาก กลุ่ม BRICS แล้ว เขายังย้ำว่า ประเทศไทยยังมีบทบาทในกรอบความร่วมมืออื่น ๆ อีกมาก และมีกลุ่มความร่วมมือที่สหรัฐอเมริกา เป็นการแกนนำ เช่น กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก หรือ IPEF ซึ่งไทยก็มีบทบาทที่โดดเด่น และสหรัฐอเมริกาชื่นชม โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในกลุ่มประเทศ IPEF และความร่วมมือการพัฒนาทุกด้าน ๆ รวมถึงกรอบความร่วมมือองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ซึ่งเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มีประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ และประเทศยุโรป เอเชีย เป็นสมาชิก รวมถึงกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ทั้ง APEC และโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS เป็นต้น
นายมาริษ ยังยืนยันด้วยว่า การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ประเทศไทยได้แสดงบทบาทชัดเจน เพื่อการพัฒนา ไม่ได้สร้างให้เป็นอุปสรรค และไทยยังได้กระชับความร่วมมือด้านการค้ากับทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป ผ่านกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทย: EU-Thailand Partnership and Cooperation Agreement หรือ PCA ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของประเทศไทย ที่ต้องการร่วมมือกับประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยไม่ได้มุ่งหวังนำกรอบความร่วมมือมาเกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์โลก แต่เป็นท่าทีที่ไทยมองกรอบความร่วมมือ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทั้งสิ้น

รมว.กต. กล่าวว่า ความร่วมมือกับยุโรป นอกจาก PCA แล้ว ขณะนี้ ยังอยู่ในช่วงการเจรจา เพื่อดำเนินการ FTA ร่วมกับสหภาพยุโรป หรือ EU ซึ่งล่าสุด เพิ่งมีการลงนาข้อตกลงการค้าเสรี ระหว่างประเทศไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ EFTA ซึ่งเป็นการค้าระหว่างประเทศไทย กับประเทศสมาชิกในภูมิภาคยุโรป จึงจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยรักษาสมดุลอำนาจ โดยคำนึงผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เลือกข้าง หรือเปลี่ยนการจับขั้ว แต่เป็นการรักษาสมดุลในความสัมพันธ์ และความร่วมมือนานาชาติที่หลากหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับการรักษาผลประโยชน์ไทย
นายมาริษ ยังเปิดเผยด้วยว่า ตนเองได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำหลายประเทศ รวมถึงผู้นำสหรัฐอเมริกา โดยได้ย้ำจุดยืนสถานะในความร่วมมือเดิมระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์รูปแบบพิเศษมาโดยตลอด