“ ผลโหวตของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.)เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ต่อประเด็นฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ให้ดำเนินการเฉพาะคดีฟอกเงิน และตีตกข้อหาฐานความผิดอั้งยี่และช่องโจร เนื่องจากเป็นความผิดนอกบัญชีกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ“

กลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง มีทั้งไม่ปลื้มเนื่องจากรู้สึกผิดหวังเพราะก่อนที่ปมฮั้วเลือกตั้ง สว.จะถูกนำเข้าที่ประชุมเพื่อขอไฟเขียวจาก กคพ.นัดแรก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกตัวแรงว่าหลักฐานค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะโพยที่ชื่อผู้สมัคร สว. 140 คน ได้รับเลือกตั้ง 138 คนและสำรอง 2 คน รวมถึงยกข้อกฎหมายมาอธิบายว่าเข้าข่ายอั่งยยี่และซ่องโจร
“ ในจังหวะนั้นมีการปล่อยเอกสารที่ตีตราลับมากเพราะตีตราลับทั้งข้างบนและข้างล่าง ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ที่ส่งถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งระบุผลการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำความผิดในการเลือกตั้ง สว.โดยระบุถึงพฤติกรรมการได้มาของสว.138 คน“
สร้างความเดือดดาลให้กับ 138 สว. ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้พร้อมยื่นญัตติให้ประธาน สว.บรรจุเป็นวาระเพื่ออภิปรายการทำงานของดีเอสไอ และร้องให้สอบจริยธรรม พ.ต.อ.ทวีฯ
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังวิวาทะกันมีการปล่อยข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายเนวินชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย นัดเคลียร์ปัญหากันที่โรงแรมพลูแมน
แต่เป็นเพียงข่าวปล่อย เพราะมีเพียงแต่นายเนวินไปปรากฏตัวเท่านั้น ซึ่งแวดวงสื่อสายการเมืองต่างทราบกันดีว่าเมื่อบิ๊กการเมืองเริ่มงัดข้อกัน ข่าวปล่อยจะถูกปล่อยออกมาเพื่อเล่นเกมและหยั่งเชิงกันเป็นระยะอยู่แล้ว เพราะถ้าจะพบกันจริงๆสามารถนัดแบบลับๆได้อยู่แล้ว
ผลของการปล่อยข่าวชิ้นนี้มีการผูกโยงไปว่าจะมีผลต่อการพิจาณารับฮั้วเลือกตั้งส.ว.ของ กคพ. เป็นคดีพิเศษในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นดังคาดเพราะมติที่ประชุมให้เลื่อนไปพิจารณาวันที่ 6 มีนาคม อ้างว่าต้องเชิญกกต.มาให้ข้อมูลก่อน
ก่อนถึงวันที่ 6 มีนาคม นายอนุทิน ออกมายอมรับว่าวันที่ 2 มีนาคม พานายเนวินเข้าพบนายทักษิณ และน.ส.แพทองธาร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หารือเรื่องคาสิโนและกฎหมายพนันออนไลน์ เท่านั้น
พลันที่ข่าวแพร่ออกไปสื่อหลายสำนักต่างนำผูกโยงกับการประชุมของกคพ.ในวันที่ 6 มีนาคม ว่ามติที่ประชุมอาจจะไม่รับเป็นพิเศษเพราะเกาเหลาเคลียร์จบแล้ว สื่อบางสำนักวิเคราะห์ถึงคณะกรรมการบางคนว่าอาจจะลาประชุม บางคนส่วนตัวแทน เพราะไม่อยากจะเอี่ยวกับความขัดแย้งของขั้วการเมือง
พอมติออกมารับเฉพาะประเด็นฟอกเงินเท่านั้น ถือว่าเป็นทางออกแบบไว้เชิงเพื่อไม่ให้เสียหน้าทั้งสองฝ่าย เพราะถ้ามีมติให้ดำเนินคดีกับ 138 สว.ทั้งฐานอั้งยี่ ซ่องโจรและฟอกเงิน จะมองได้ว่าเพื่อไทยกับภูมิใจไทยเปิดศึกกันแล้ว แต่ถ้าดำเนินการฐานฟอกเงินอ้างได้ว่าเป็นความผิดที่อยู่ในท้ายบัญชีของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ 2547 อยู่แล้ว ซึ่งอธิบดีดีเอสไอดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องขอมติจากกคพ. แม้ดีเอสไอจะมีอำนาจทำคดีฟอกเงิน แต่ความผิดคดีเลือก สว.รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้วว่าเป็นหน้าที่ของกกต.
แม้ว่าฐานอั้งยี่และซ่องโจร จะไม่ได้เป็นคดีพิเศษ แต่ พ.ต.อ.ทวี ที่เคยออกตัวแรงจนถูกงมองว่าเสียรังวัดได้แทงกั๊กไว้ว่าแม้ดีเอสไอ ทำเฉพาะกรณีความผิดเกี่ยวกับฟอกเงิน อาจจะขยายผลเกี่ยวกับคดีอาญาอื่นเช่นอั้งยี่ ถ้าหากส.ว.อยากมาแสดงความบริสุทธิ์ ดีเอสไอพร้อมที่จะรับฟัง”
หากมองอย่างวิเคราะห์ถึงประเด็นที่ พ.ต.อ.ทวี เปิดช่องว่าอาจจะขยายผลเกี่ยวกับคดีอาญาพออนุมาน ยังไม่มีการปล่อยมือประเด็นฮั้วเลือกตั้งสว.เสียทีเดียว เพราะหากมีการงัดข้อกันอีกโอกาสที่จะให้ดีเอสไอขยายผลไปถึงอั้งยี่และซ่องโจรมีสูงเช่นกัน
สำหรับฟากที่พอใจผลโหวตของ กคพ.คงเป็นกลุ่ม 138 สว.เพราะไร้ความเคลื่อนไหวและไม่มีการแสดงความเห็นใดๆเชิงต่อต้าน นอกความเคลื่อนไหวของ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานสว.คนที่ 1 บอกอย่างอารมณ์ดีระหว่างไปพบนายอนุทิน ที่กระทรวงมหาดไทย ว่าไม่เป็นไปตามกระบวนการ ยังทำหน้าที่เป็นรองประธานวุฒิฯไม่ได้หนักใจอะไร
ที่”จอมมารน้อย”เขียนถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อสะท้อนว่าการเคลื่อนไหวของนักการเมือง แม้จะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน ปากบอกรักกันแถมโปรยยาหอมว่าทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมและประชาชนแต่เมื่อขัดแย้งเชิงอำนาจ จะงัดกลไกรัฐที่อยู่ในมือขึ้นมาห่ำหั่นเพื่อเจรจาต่อรอง โดยขุดความผิดที่แต่ละฝ่ายนั่งทับอยู่ขึ้นมาปัดฝุ่นขู่ดำเนินคดี ให้ลิ่วล่อสร้างกระแสจนสุกงอม จากนั้นคีย์แมนจะนัดเปิดโต๊ะเจรจาเคลียร์ใจกันจบ คดีความจะถูกเก็บซุกดังเดิม
ซึ่งกรณีฮั้วเลือกตั้ง สว.เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า เป็นเกมชิงอำนาจหักเหลี่ยมเฉือนคมครบสูตร แต่พอ4บิ๊กเนมนัดเคลียร์กันจบ ผลคือชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ เท่านั้น!!!
