รัฐบาล มาตรฐานบังคับใช้กฎหมาย ล้วนขึ้นกับอำนาจการเมือง ชาวบ้านแค่นั่งดูแล้วทำใจ

931

  “  เชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสถานการณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นช่วงจังหวะไหน คงมีความรู้สึกละเหี่ยใจกับมาตรฐานบังคับใช้กฎหมายของผู้มีอำนาจทางการเมืองและองค์อิสระทั้งหลาย เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าหากมีเหตุที่ส่อจะขัดกฎหมายหรือขัดรัฐธรรมนูญ จะถูกยกขึ้นมาดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องเวลาไหนหรือถ้าผู้มีอำนาจทางการเมืองส่อขัดกฎหมาย ผู้ถือกฎหมายมักจะหาช่องให้พ้นบ่วงหรือไม่ก็ประวิงเวลาไปจนกว่าถูกลืมหรือหมดอายุความ

       ห้วงเวลานี้มีหลายประเด็นที่สังคมจับตาดูกันว่าจะเป็นปาหี่เมื่อการเจรจาผลประโยชน์ทางการเมืองจบแบบวินๆกันทั้งสองฝ่ายหรือไม่


       กรณีแรกการฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีไอเอส)ชงให้คณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯรับเป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ แต่สั่งให้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 6 มีนาคม อ้างว่าต้องเชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ชี้แจงก่อน


       การยกชงให้การฮั้วเลือกตั้ง สว.เป็นคดีพิเศษ จะมองเป็นความตั้งใจที่ดีเอสไอจะสะสางให้กระจ่างคงเป็นข้ออ้าง แต่จะหนักทางหวังผลทางการเมืองแบบเต็มร้อย เพราะประเด็นนี้อดีตผู้สมัครส.ว.ร้องทั้งกกต.และดีเอสไอ มาตั้งแต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ แต่ 2 หน่วยงานกลับเมินเฉย ทั้งที่ในความเป็นจริงควรทำให้กระจ่างนานแล้วเพราะถือว่าเป็นปัญหาใหญ่แถมหลักฐานชัดอีกต่างหาก

      แต่ถูกยกมาปัดฝุ่นอาจเป็นเพราะพรรคเพื่อไทย ถูกกลุ่ม 138 สว.รู้กันดีว่าเป็นสว.สีน้ำเงิน เล่นเกมหักหน้าในการประชุมรัฐสภาปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ แถม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกตัวแรงอธิบายข้อหาแบบล้วงลึกถึงขั้นว่าเป็นอั้งยี่และซ่องโจร   ถ้าก่อนถึงวันที่ 6 มีนาคม หากแกนนำพรรคภูมิใจไทยดอดไปเจรจากับพ่อนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย โดยยอมให้เพื่อไทยถือแต้มต่อ ฮั้วเลือกตั้งสว.เป็นเพียงปาหี่ก็เป็นได้ 

        กรณีที่ 2  มีข่าวสะพัดว่ารัฐบาลมอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือส่งให้รัฐธรรมนูญตีความคำนิยาม”ไม่ซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์”คืออะไร ความหมายกว้างขวางแค่ไหน

      พลันที่ข่าวนี้แพร่ออกไปสื่อหลายสำนักต่างวิเคราะห์ว่ารัฐบาลหวังจะใช้เป็นแนวทางการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อให้ตัวจริงเสียงจริงอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พรรคกล้าธรรม และนายชาดา ไทยเศรษฐ์  พรรคภูมิใจไทย ได้กลับมานั่งในตำแหน่งเสนาบดี แบบไม่หวั่นเกรงว่าน.ส.แพทองธาร จะถูกศาลรัฐธรรมนูญ สอยแบบ นายเศรษฐา ทวีสิน ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เหตุตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยประเด็นไม่ซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ มาแล้ว

        หากยื่นจริงไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับตีความหรือไม่ หรือหากรับตีความ อดนึกถึงช่วงที่ ร.อ.ธรรมนัส นั่งเสนาบดียุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจถึงประวัติที่มัวหมอง พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด แถม ร.อ.ธรรมนัสได้นั่งเก้าอี้เสนาบดีต่อแบบไม่ต้องกังวลว่าจะถูกองค์กรอิสระจะชี้ขาดให้กระเด็นตกเก้าอี้แต่อย่างใด

     หรือกรณีบุกรุกพื้นที่ เขากระโดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีการฟ้องร้องดำเนินคดีผู้บุกรุกจนศาลมีคำพิพากษาจนถึงที่สุดแล้ว แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องยังอยู่ในอาการเงียบสงบไม่ลุยต่อ เพราะทราบกันดีว่าผู้บุกรุกเป็นใคร แม้แต่ยุคเผด็จการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มมือแถมมีมาตรา 44 ให้อำนาจเด็ดขาด สามารถยึดคืนที่ดินเขากระโดงได้เลย แต่รัฐบาลเผด็จการทหารไม่กล้าที่จะทำให้ผู้ครอบครองระคายผิดแม้แต่น้อย แถมดึงมาร่วมรัฐบาลแบบสบายใจเฉิบ

    หรือกรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีทั้งยุคเผด็จการและยุคกลายร่างเป็นรัฐบาลพลเรือน ถูกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)สอบฐานแจ้งทรัพย์สินเป็นปมนาฬิกาหรูและแหวนเพชร ทางป.ป.ช.หาทางออกให้แบบไม่ผิดว่ายืมเพื่อนมา

  หรือกรณีบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายวางขายเกลื่อนทั้งในกรุงและต่างจังหวัด ซึ่งชาวบ้านต่างร้องเรียนให้จับกุม แต่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ฝ่ายปกครอง และศุลกากร กลับมองไม่เห็น กระทั่งเกิดเหตุนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาและมัธยมต้น 3 คน ใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เกิดป่วยกระทันหันแพทย์ตรวจพบว่าปอดหายไปเกือบทั้งหมด เหตุจากสูบบุรี่ไฟฟ้าและดื่มน้ำกระท่อม มีเสียชีวิต 1 คน ป่วยหนัก 2 คน

    พอข่าวแพร่ออกไปนายกรัฐมนตรีสั่งให้กวาดล้างจับกุม เพียงไม่กี่วันตำรวจจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าได้จำนวนมากในหลายพื้นที่ และมีข้อมูลจากฝ่ายการศึกษาว่าเด็กนักเรียนทั่วประเทศสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่โฆษกรัฐบาลบอกว่าธุรกิจซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปการณ์มีมูลค่าสูงถึงปีละไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ถ้าไม่ถูกความตายและเจ็บป่วยของเด็กแค่ระดับประถมฯและมัธยมต้น เป็นตัวกระตุ้นจนกลายเป็นประเด็นร้อนที่กระทบถึงความรู้สึกของคนทั่งประเทศ ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกคงไม่ได้เห็นการแถลงผลกวาดล้างจากตำรวจแน่นอน 

     ที่ยกมาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นเพื่อสื่อสารให้ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรมากกับมาตรฐานบังคับใช้กฎหมาย เพราะถ้าไม่กระทบกับกลุ่มผู้กุมอำนาจหรือกลุ่มผู้กุมอำนาจหักเหลี่ยมกันเอง ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราจะไม่ได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังตามที่บัญญัติไว้อย่างแน่นอน

   ดังนั้นเพื่อบรรเทาอาการเครียดเมื่อเสพข่าวประเภทนี้ มีหนทางเดียวที่จะชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราทำได้นั่นคือทำใจ  แล้วอาการละเหี่ยใจจะบรรเทาลงเอง !!!