“ก่อนถึงวันที่ 10 มกราคม บรรดาชาวสีกากีต่างลุ้นระทึกว่าโฉมหน้าการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการ(รอง ผบช.)- ผู้บังคับการ(ผบก.)ตามกฎหมายใหม่ จะออกมาแบบเดิมๆที่กฎกติกามีไว้ยกเว้นให้กับพวกถือตั๋วฝากหรือจะยึดตามกฎหมายแบบเต็มร้อย”
ซึ่งในวันที่ 10 มกราคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) นัด ก.ตร.ถกการ แต่งตั้งโยกย้ายรองผบช.ว่าง 41 ตำแหน่งและผบก.ว่าง 78 ตำแหน่ง รวม 119 ตำแหน่ง และคาดว่าจะโยกย้ายสลับตำแหน่งราว 20-30 ตำแหน่ง จะทำให้โผนายพลเล็กอยู่ที่ 130-140 ตำแหน่ง
หากดูจำนวนตำแหน่งแล้วน่าจะถกกันยาว เพราะช่วงที่ผ่านมามีเสียงวิจารณ์อย่างหนักว่าตั๋วฝากมาแรงทั้งจากฝ่ายการเมืองและผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ แม้กฎหมายตำรวจจะกำหนดให้คณะกรรมการระดับ บช. พิจารณากลั่นกรองบัญชีก่อนส่งให้ ตร. พิจารณา แต่ทาง ตร.ไม่ได้กำหนดแนวทางการดำเนินการให้กับคณะกรรมการระดับ บช. พิจารณาความรู้ความสามารถอย่างไร ในส่วนของอาวุโส 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่น่าจะมีปัญหาในการพิจารณา แต่อีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ความรู้ความสามารถประกอบ จะเป็นช่องว่างให้พวกมีตั๋วฝาก แต่ไม่มีผลงานได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งได้
หาก น.ส.แพทองธาร ยึดแนวทางที่นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาเคยประกาศบนเวทีหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี เกี่ยวกับนโยบายปราบปรามยาเสพติดว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องจับคู่กับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.) เดินหน้าปราบปราม จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ตั๋วฝากจะทะลักจากซีกรัฐบาล
แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นตั๋วฝากอย่างกว้างขวาง แต่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์เจ้าสำนักปทุมวัน ที่ยืนหยัดในหลักเกณฑ์การแต่งตั้งจนเป็นที่กล่าวขานถึงช่วงแต่งตั้งนายพลใหญ่ว่ากล้าที่จะชี้แจงกับนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองและ ก.ตร.เมื่อมีการเสนอชื่อผู้ที่ไม่เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งหรือสลับตำแหน่งต่างๆ จนโผนายพลใหญ่คลอดมาแบบไร้เสียงยี้ ออกมายืนยันว่า ต้องมองถึงบุคคลคือข้าราชการตำรวจที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ เพื่อไปพิจารณาใส่ในตำแหน่งว่าตำแหน่งดังกล่าวเหมาะสมกับคนที่พิจารณาหรือไม่ เพราะกฎหมายบัญญัติเรื่องอาวุโสประกอบความรู้ความสามารถไว้
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยังยืนยันถึงการแต่งตั้งผู้กำกับการ(ผกก.)-สารวัตร(สว.)ที่จะมีขึ้นหลังโผนายพลเล็กคลอดแล้วว่า การซื้อขายตำแหน่งจะไม่ให้เกิดขึ้นเลย ถ้ารู้ ผบช.หรือ ผบก.คนใดไปใช้หน้าที่และอำนาจที่มีอยู่ไปทำ สิ่งแรกที่ทำคือย้ายประจำ ตร.เลย เพราะต้องการให้เรื่องแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง
“ตำรวจที่กินเลือดตำรวจคิดว่าเป็นตำรวจที่มีพฤติกรรมที่เลวร้ายมากกว่าที่ไปทำความเสื่อมเสียต่อองค์กรเสียอีก ถือว่าแย่ที่สุดคิดว่าผู้บังคับบัญชาในอดีตพยายามแก้ไขอยู่แล้ว แต่ในยุคผมต้องไม่มีเลย”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เคยระบุ
เมื่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ออกโรงการันตีว่าเดินตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างแน่นอน แต่เพื่อให้ความหวังของเป็นจริง บทบาทที่หนุนช่วยคงหนีไม่พ้น ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิที่บรรดาตำรวจเลือกเข้ามาให้เป็นปากเป็นเสียงผดุงความเป็นธรรมให้กับตำรวจในทุกมิติ
“ประดู่แดง”เชื่อว่าการพิจารณาแต่งตั้งนายพลเล็กในวันที่ 10 มกราคม ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิทุกคนคงแสดงบทบาทให้การแต่งตั้งเดินตามกฎกติกาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ตั๋วฝากเป็นได้แค่กระดาษชำระ แต่ถ้าวางเฉยคอยทำหน้าที่แค่เป็นตรายางคอยประทับเพราะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน คงถูกวิจารณ์ในเชิงลบอย่างหนักและอาจจะกลายเป็นกลุ่มที่ไร้ราคาในสายตาตำรวจส่วนใหญ่
ในจังหวะที่กระแสตั๋วฝากมาแรง มีความเคลื่อนไหวจากนายธวัชชัย ไทยเขียว กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ(ก.พ.ค.ตร.)โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวด้วยข้อความลอยๆว่า
”ผู้บริหารที่รับตั๋วแต่งตั้งคือผู้บริหารที่เอาตัวรอด แต่ไม่สนใจว่าองค์กรจะฉิบหายหรือไม่ จึงไม่ใช่มืออาชีพที่ควรได้รับการเคารพนับถือ”
แม้จะเป็นข้อความลอยๆพอประเมินได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับองค์กรตำรวจ เพราะห้วงเวลานี้การแต่งตั้งโยกย้ายมีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงหน่วยเดียว พออนุมานได้ว่าเตือนสติกันและอาจจะสื่อถึงตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า ก.พ.ค.ตร.เป็นช่องทางหนึ่งที่พึ่งพาได้
ดังนั้นการประชุม ก.ตร.เพื่อพิจารณาแต่งตั้งรองผบช.-ผบก.ในวันที่ 10 มกราคม ต้องจับตาเป็นพิเศษว่าระหว่างตั๋วฝากกับกฎกติกา อะไรจะมีพลังแรงกว่ากัน !!!