”พล.ต.ท.ศานิตย์“โพสน์เดือด..!!!ถ้านักการเมืองไทยหยุดโกงเพียง 2 ปี ถนนในประเทศไทยจะปูด้วยทองคำ

920

”พล.ต.ท.ศานิตย์“โพสน์เดือด..!!!ถ้านักการเมืองไทยหยุดโกงเพียง 2 ปี ถนนในประเทศไทยจะปูด้วยทองคำ

”ยากที่จะเจริญงอกงาม ประชาธิปไตยบ้านเราจึงกลายเป็นธุรกิจการเมือง รัฐบาลสร้างนโยบายขายฝัน ครอบงำประชาชน ทำลายประชาธิปไตย ทำร้าประเทศไทย”ประชาธิปไตยบ้านเราจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์ “

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวไทยแทบลอยด์ รายงานว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร อดีต ผบช.น สนช. สว ได้โพสน์ข้อความผ่านโซเชียลไลน์ มีใจความระบุว่า “เล่าสู่กันฟัง..! “ทำไมต้องแก้..?”ช่วงนี้การบ้านการเมืองเรามีเรื่องให้วิพากษ์กันหลายเรื่องซึ่ง นอกจากเรื่องแบ๊งค์ชาติ ชั้น 14 และ MOU 44 ฯลฯ เป็นต้น แล้ว ล่าสุดฝ่ายการเมืองยังได้มีการเสนอร่างกฎหมายแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 (ออกในสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น นรม. ) ซึ่งแม้จะถอนร่างไปแล้วก็ตาม แต่ก็อาจฟื้นกลับคืนเข้ามาใหม่ได้ แต่คำถามคือ ทำไมต้องแก้ ใครสั่งให้แก้ แก้แล้วได้อะไร อย่างไรก็ตามการแก้ไขนั้น ฝ่ายการเมืองมักอ้างว่าแก้เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ฝ่ายการเมืองมาจากประชาชนข้าราชการจึงต้องอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมืองด้วย อันที่จริงคำกล่าวอ้างดังกล่าวก็ไม่น่าจะผิดหากประเทศเหล่านั้นเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และการได้มาซึ่งสมาชิกรัฐสภาที่สง่างาม ไม่มีนักเลือกตั้งที่ซื้อเสียงเข้ามาโกงบ้านกินเมือง ประชาชนก็จะอยู่ดีมีสุข บ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง หันมามองบ้านเราประชาธิปไตยยังไปไม่ถึงไหน จริงอยู่แม้เราจะผ่านการเลือกตั้งมา 27 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญมากถึง 20 ฉบับ (ฉบับล่าสุดปี 60 ซึ่งได้ชื่อว่า”ฉบับปราบโกง” แต่ฝ่ายการเมืองก็พยายามจะแก้อีก ) แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรมได้เลย เพราะนักเลือกตั้งบ้านเราไม่กลัวกฎหมาย ไม่กลัวเจ้าหน้าที่รัฐไม่เว้นแม้จะเป็นฝ่ายปกครอง ตำรวจ ก็ตาม และไม่กลัว กกต. หรือคณะกรรมการเลือกตั้งเลย

ทั้งๆที่ กกต. มีทั้งอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายในการให้คุณให้โทษนักการเมือง และการจัดการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรม แต่ก็ทำไม่ได้ หรือทำอย่างไม่จริงจัง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้ถูกฝ่ายการเมืองครอบงำอยู่หรือไม่อะไรก็แล้วแต่ เราจึงได้สมาชิกรัฐสภาที่ไม่สง่างาม บางคนได้มาจากการซื้อเสียง หรือสร้างนโยบายประชานิยม คนเหล่านี้เมื่อรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลได้ บางคนจึงมาถอนทุนคืนและเตรียมทุนไว้ใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปกลายเป็นวงจรอุบาทวนเวียนไปมาอยู่เช่นนี้ตลอดไป ผมเองซึ่งเคยเป็นทั้งตำรวจ สนช.และ สว.ได้เคยพูดคุยปรับทุกข์ผูกมิตรกับเพื่อนสส.ในสภาหลายครั้ง ซึ่งหลายท่านยอมรับในเรื่องนี้ บางท่านถึงกับพูดว่ากว่า 90 % จำเป็นต้องทำ เพราะแม้จะดีแสนดีมีผลงานมากมาย แต่ถึงเวลาเลือกตั้ง เสียงดีอาจไม่มีคะแนนก็ได้

ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสู้ ต้องลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเมื่อลงทุนไปแล้ว บางท่านก็ต้องถอนทุน แล้วก็ลงทุนถอนทุนๆๆๆเป็นวัฐจักรเยี่ยงนี้ การเลือกตั้งบ้านเราจึงกลายเป็นธุรกิจการเมืองไปโดยปริยาย ซึ่งผมเองก็เคยนำไปเรื่องนี้ไปอภิปรายในสภาหลายครั้งด้วยความห่วงใย ว่า “การนำเอาประชาธิปไตยของประเทศพัฒนาแล้ว มาใช้บ้านเราที่กำลังพัฒนาเปรียบเสมือนเอาต้นไม้ที่ขึ้นและงอกงามในประเทศที่มีหิมะตก มาปลูกในไทยที่เป็นเมืองร้อน มีบริบทสังคมไทยที่ต่างกัน

จึงยากที่จะเจริญงอกงาม ประชาธิปไตยบ้านเราจึงกลายเป็นธุรกิจการเมือง สร้างนโยบายขายฝัน ครอบงำประชาชน ทำลายประชาธิปไตย ทำร้ายประเทศไทย ” ประชาธิปไตยบ้านเราจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์ว่ามีเลือกตั้งจากประชาชนแล้ว โดยฝ่ายการเมืองมักจะนำไปอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองดังเช่นนำมาอ้างเพื่อขอแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ปี 51 นั่นเอง ซึ่งในส่วนของการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวนั้น ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะทหารเป็นอาชีพพิเศษ ต่างจากพลเรือนทั่วไป ทหารมีการปลูกฝังอุดมการณ์ อุดมคติให้มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน มาตั้งแต่อยู่ในรั้วโรงเรียนทหาร ทหารนั้นเปรียบดังรั้วของชาติ

วันใดที่มีอริราชศัตรูเข้ามารุกราน ทหารพร้อมสละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ ทหารจึงต้องมีระเบียบมีวินัย มีธรรมเนียมปฎิบัติที่ดี พร้อมรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพื่อปฎิบัติภาระกิจให้สำเร็จแม้ต้องเสี่ยงภัยอันตรายจนถึงชีวิตก็ตาม(กรณีว้าแดงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง)การบริหารจัดการกำลังพลทหารโดยเฉพาะผู้นำหน่วยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเท่าที่ทราบจะมีการพิจารณาความเหมาะสมในทุกด้าน ตั้งแต่เริ่มต้นรับราชการเป็นผู้บังคับหมวด จนถึงนายทหารขั้นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ทหารยังมีการแยกสายงานอย่างชัดเจนซึ่งหลังจากจบ รร.เสธฯแล้ว ก็ยังจะดูอีกว่าใครควรอยู่สาย command หรือ staff และจะไม่มีการข้ามสายกัน ผู้บังคับบัญชาในกองทัพจึงต้องรู้จักกำลังพลเป็นอย่างดีมากกว่าฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผมจึงเห็นว่าไม่ควรแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเลย เพราะนอกจากจะเป็นการครอบงำและดึงทหารเข้าสู่การเมืองแล้ว ยังเป็นการทำลายกองทัพซึ่งเป็นรั้วของชาติ เป็นเสาหลักของประเทศให้อ่อนแอลง จะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้กฎหมายเดิมที่มีอยู่โดยเฉพาะ ม.25 วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการฯปี 51 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า ”การบริหารจัดการกำลังพลของกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมายและตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด” นั้นก็เหมาะสมดีอยู่แล้วได้ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหาร ส่วนระดับนายพล ก็มี ม.25 วรรคท้าย บัญญัตติไว้เช่นกันว่า “ให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วย รมว.กห รมช.กห ผบ.สส. ผบ.ทบ. ผบ.ทร.และ ผบ.ทอ.เป็นกรรม ป.กห. เป็นกรรมการและเลขานุการและให้เจ้ากรมเสมียนตรา เป็นผู้ช่วย เลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล…

“ จะเห็นได้ว่าตามม.25 วรรคท้ายนี้ ก็ได้ให้ รมว.กห. และ รมช.กห. ซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองเข้ามาเป็นกรรมการในการพิจารณาด้วยแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะแก้ไขอีกเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยดี เป็นการใช้คนตรงกับงาน(Put the right man on the right job) และเป็นไปตามพระราชอำนาจ แต่ที่สำคัญคือไม่มีข่าวคราวเรื่องการซื้อขายตำแหน่งของทหารแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากข้าราชการหน่วยอื่นที่กฎหมายเปิดช่อง จึงมีข่าวฝ่ายการเมืองเข้าไปล้วงลูกแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายทุกระดับได้ ทำให้มีการวิ่งเต้นเส้นสาย บางรายยอมจ่ายเงินทองเพื่อซื้อตำแหน่งกันและใช้ข้าราชการเป็นเครื่องมือในการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมือง ทำให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติและระบบราชการอย่างใหญ่หลวง สำหรับในส่วนของตำรวจซึ่งมีปัญหาสะสมมานานเช่นกัน เพราะกฎหมายก็ยังเปิดช่องอยู่ ซึ่งในช่วงที่มีการเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ฯ ฉบับล่าสุดนั้น ผมเคยแปรญัตติขอแก้ไขและอภิปรายในสภาว่า การแก้ปัญหาตำรวจให้ตรงจุดคือ ต้องแก้ที่การแต่งตั้งโยกย้ายให้เป็นธรรม ผมจึงอยากเห็นกฎหมายตำรวจมีแบบ ม.25 แห่งพ.ร.บ.

การจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมฯเพื่อให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นธรรมแบบทหาร เพราะเรื่องของทหาร- ตำรวจคงไม่มีใครรู้ดีเท่าตำรวจ-ทหารแน่นอน แต่อยู่ๆฝ่ายการเมืองกลับไปขอแก้ไขกฎหมายดีๆของทหารที่ผมอยากให้นำมาใช้กับตำรวจเสียนี่ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงแก้ แก้เพราะอะไร ใครสั่งให้แก้ เรื่องนี้จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าทำขาวให้เป็นดำหรือไม่ ถึงกับมีบางคนตั้งข้อสงสัยว่าการที่ฝ่ายการเมืองขอแก้เพราะอาจจะกลัวทหารปฎิวัติหรือเปล่า ทั้งที่ในความเป็นจริงถ้านักการเมืองดี ไม่มีการทุจริตโกงบ้านกินเมืองจนเกินไปแล้ว คงไม่มีทหารคนไหนอยากปฎิวัติรัฐประหารกันหรอก ปัญหามันจึงอยู่ที่ตัวนักการเมืองนั่นเอง

อนึ่ง เรื่องการโกงนั้นจะมากน้อยแค่ไหน เป็นจริงหรือไม่ นั้นหาดูได้จากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีอยู่มากมาย โดยศาลนี้เปิดทำการครั้งแรก เมื่อ 1 พ.ย.2543 นอกจากนี้ผมจะขอยกคำกล่าวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง ศิลปินแห่งชาติ และอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของไทยที่เคยกล่าวเป็นอมตะวาจาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

“ ถ้านักการเมืองไทยหยุดโกงเพียง 2 ปี ถนนในประเทศไทยจะปูด้วยทองคำก็ยังได้ ..” “ รัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหา คณะปฎิวัติเป็นเพียงปลายเหตุ “คนโกง” ต่างหาก คือต้นเหตุ คำกล่าวเหล่านี้ ท่านทั้งหลายอ่านดูแล้วลองใช้วิจารณญาณพิจารณากันเองก็แล้วกัน

ที่เล่าให้ฟังมานี้ก็ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกฝ่ายไม่ได้เอาใจ ให้ร้าย หรือมีอคติกับผู้ใดหรือพรรคใดเป็นส่วนตัว แต่ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่อยากเห็นประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้า คนไทยอยู่ดีมีสุขกันถ้วนหน้า..!!ก็แค่นั้นเองครับ (angel Moon)(angel Moon)(angel Moon) # รักเธอประเทศไทย # ทำดีทำได้ทำทันที ”พล.ต.ท.ศานิตย์“ระบุ

#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์#พล.ต.ท.ศานิตย์