หลังจากตำรวจคุมตัว 18 บอสดิไอคอนเข้าเรือนจำแล้ว นอกจากเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องอื่นในเครือข่าย บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด แล้ว ยังต้องหาหลักฐานเอาผิดกับกลุ่มคนอื่นๆที่รุมทึ้งดิไอคอนในลักษณะตบทรัพย์ รีดทรัพย์ และคอยคุ้มครอง อีกด้วย
ถือว่าเป็นงานหินที่ตำรวจต้องดำเนินการควบคู่ไปกับคดีเอาผิดผู้บริหารดิไอคอน เพราะหากย้อนดูข้อมูลที่ถูกแฉออกมาไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องแฉผ่านรายการต่างๆหรือผ่านโซเชียล ล้วนเกี่ยวพันกับ บิ๊กการเมือง บิ๊กข้าราชการ และผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ มีทั้งตบทรัพย์ หรือคอยเคลียร์เมื่อถูกร้องเรียนและอีกหลายกรณีที่ส่อผิดกฎหมาย
อย่างกรณีแรกที่นายเอก สายไหมต้องรอดแถลงว่ามีสายลับออกมาแฉว่าดิไอคอนต้องเคลียร์กับผู้มีอำนาจรัฐหลายกลุ่ม รวมถึงระดับบิ๊กในรัฐบาล จ่ายมาตั้งแต่ปี 2563 รวมแล้วหลักหมื่นล้าน กลุ่มนี้จะใช้คำว่าเทวดา มีการเซ่นไหว้เทวดา เพื่อช่วยดูแล 4 หน่วยงานหลักคือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.)และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.)ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของดิไอคอน
ประเด็นนี้มีรายการเชิงข่าวหลายรายการนำไปขยายผลถามความเห็นกับผู้เกี่ยวข้องในแต่ละหน่วยต่างตอบปฏิเสธ บางรายการเปิดชื่อย่อเทวดาในดีเอสไอว่าชื่อ ป.และท. ส่วนของ บช.สอท.และบก.ปคบ. มีการแฉว่ามี อดีตนาย พล จ. เข้าไปล้วงลูกแตะเบรกไว้ สอดคล้องการนำสื่อข่าวของทีวีช่องหนึ่งระบุว่าเมื่อประมาณปี 2564 สมาชิกดิไอคอนรวมตัวร้องผ่านทนายความให้ดำเนินคดีกับดิไอคอน ฐานฉ้อโกง ทนายความทำหนังสือถึง สคบ.และตำรวจ สอท.เพื่อขอข้อมูลว่าดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ทาง สคบ.ตอบว่าไม่ผิดกฎหมาย ผู้บริหารดิไอคอนใช้ข้อมูลของ สคบ.ฟ้องกลับทนายความข้อหาหมิ่นประมาท จนต้องถอยมาตั้งหลัก ส่วนที่ บช.สอท.ตอบในทำนองเดียวกัน ภายใต้การกำกับดูแลของ อดีตนายพล จ. นี่คือกรณีให้ความคุ้มครองที่ดิไอคอนเต็มใจจ่าย
ขณะเดียวกันเกิดกรณีตบทรัพย์โดยนักร้องเรียนหญิง ไปแจ้งความที่ บก.ปคบ.ใส่ร้ายบริษัทดิไอคอนฯ ทางดิไอคอนแจ้งความกลับว่าถูกรีดทรัพย์ ต่อมาไปถอนแจ้งความเพราะหวาดกลัวเนื่องจากถูกข่มขู่โดยผู้หญิงนักร้องเรียนว่ารู้จักพวกมียศใหญ่และระดับรัฐมนตรี สามารถทำให้ดิไอคอนเดือดร้อนได้ จึงจ่ายเงินไป 10 ล้านช่วงกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2567 และจ่ายเพิ่มเพราะมารีดทรัพย์บ่อยโดยขอให้จ่ายผ่านมูลนิธิฯ
ซึ่งการตบทรัพย์ จ่ายสินบน และรีดทรัพย์ จากดิไอคอนเกิดขึ้นในหลายกรณีแต่ทุกกรณีที่เจรจาทางโทรศัพท์เพื่อจ่ายเงิน นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุลหรือบอสพอล จะอัดเสียงไว้ทุกครั้ง
สำหรับการหาประโยชน์ของฝูงอีแร้ง มิได้เกิดขึ้นเฉพาะฝั่งดิไอคอน แต่ฝูงอีแร้งยังไปรุมทึ้งจากชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อของดิไอคอนด้วย มีเสียงนินทาว่าเครือข่ายทนายความบางคนและเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์บางคน ติดต่อผู้เสียหายบอกถ้าจะได้เงินเร็วสามารถช่วยได้แต่ต้องจ่ายสด 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่จ่ายให้กับดิไอคอน ผู้เสียหายที่ยังมีทุนยินดีใช้บริการ ผู้เสียหายไม่มีทุนขอปล่อยตามยถากรรม
ที่”ประดู่แดง”บอกว่าการแกะรอยคลิปเสียงและจัดการกับพวกฝูงแร้งและเทวดาเป็นงานหินนั้นคงไม่ผิดนัก แต่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ยืนยันเอาอยู่โดยให้สั่งทีมสืบสวนสอบสวน ขยายหลักฐานว่าเกี่ยวพันกับผู้ใดบ้าง เพราะในการสอบปากคำนายวรัตน์พล ยืนยันว่าเสียงในคลิปเป็นเสียงเขาจริง หากพบว่าบุคคลใดมีหลักฐานชัดเจน เป็นการกระทำผิดต่อเจ้าพนักงานของรัฐหรือความผิดต่อแผ่นดิน ต้องดำเนินคดีอย่างแน่นอน
ดังนั้นคงติดตามอย่างเกาะติดว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐและทีมสางคดี จะขยายผลจากคดีดิไอคอนไปสู่การเอาผิดกับฝูงอีแร้งและแก๊งเทวดาที่มีพฤติกรรมทั้งตบทรัพย์ รีดทรัพย์ และคุ้มครองให้พ้นมือกฎหมาย บรรลุเป้าหมายแค่ไหน เพราะแต่ละกลุ่มล้วนมีแบ๊คอัพไม่ธรรมดา แต่อีแร้งบางตัวถูกต้นสังกัดเขี่ยทิ้งเรียบร้อยแล้ว กำลังดิ้นเหมือนไส้เดือดถูกขี้เถ้า
ที่สำคัญถ้าตรวจสอบข้อมูลจากหลายๆด้านบวกกับความชาญฉลาดของบอสพอล เชื่อว่าบอสพอลคงไม่ปล่อยให้ตัวเองและ17 บอสที่อยู่ในคุกสู้แบบเสียเปรียบโดยไร้ข้อต่อรองแน่นอน เพราะทุกจังหวะก้าวในการเคลื่อนไหวเพื่อเจรจาเกี่ยวกับผลประโยชน์บอสพอลจะอัดเสียงไว้เสมอ บางครั้งถึงขั้นซ่อนไว้ในเป้ากางเกง ในระหว่างสู้คดีถ้าการเจรจาต่อรองของบอสพอลไร้ผล สังคมอาจจะได้เห็นชื่อและได้ยินเสียงพวกอีแร้งและแก๊งเทวดาแพร่ในสื่อโซเซียลก็เป็นได้
หากเกิดขึ้นจริง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องเตรียมจัดทัพทีมสอบสวนรับมือให้ดีๆเพราะเชื่อว่าคงมีชื่อระดับบิ๊กเนมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน !!!