ที่รัฐสภา วันที่ 18 ต.ค. ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช (ผู้กองมาร์ค) รองประธานคณะกรรมาธิการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งปัญหาฝุ่นอาจกลับมารุนแรงอีกครั้ง โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 ต.ค. พบว่าหลายพื้นที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะในเขตสาทร และบางพื้นที่เข้าสู่ระดับสีส้ม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างชัดเจน โดย แหล่งมลพิษสำคัญที่คนไทยยังไม่ตระหนักคือ ฝุ่นจากยางและเบรกรถยนต์ แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะลดการปล่อยควันไอเสีย แต่ปัญหาฝุ่นเหล่านี้ยังคงมีอยู่และส่งผลต่อสุขภาพและสภาพภูมิอากาศ
การวิจัยจาก University of California, Riverside ระบุว่า ฝุ่นจากยางและเบรกเป็นแหล่งมลพิษที่ไม่ได้รับการควบคุม และมีสารเคมีอันตรายมากกว่าที่คาดคิด ขณะที่ CNN รายงานว่า ฝุ่นจากยางรถยนต์เป็นไมโครพลาสติกที่แพร่กระจายมากที่สุดในอากาศและน้ำ โดยคิดเป็น 90% ของฝุ่นละอองทั้งหมดจากยานพาหนะ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพมนุษย์
โดย ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ เสนอว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตยางและเบรกรถยนต์รายใหญ่ ควรคิดค้นวัสดุใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันชิ้นส่วนยางมักทำจากยางสังเคราะห์ซึ่งมีสารเคมีอันตรายบางชนิด เช่น สารก่อมะเร็ง หากรัฐบาลขอความร่วมมือจากผู้ผลิตยางให้หันมาใช้ยางจากธรรมชาติมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มความต้องการยางพาราและดันราคายางในประเทศให้สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ การพัฒนายางและเบรกรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น การผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานสากลไม่เพียงแค่สร้างผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในประเทศเท่านั้น แต่ยังสามารถเสริมสร้างบทบาทของไทยในตลาดโลกได้อีกด้วย ถือเป็นการแก้ปัญหาที่สร้างผลประโยชน์สองต่อ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ตนฝากถึงรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่าควรเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ในช่วงฤดูหนาวนี้ ซึ่งมวลอากาศเย็นและความชื้นที่สูงกว่าปีก่อนอาจทำให้ปัญหาฝุ่นพิษรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวถึงข่าวดีว่า รัฐสภาไทยมีมติเอกฉันท์รับร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด รวม 7 ฉบับ ซึ่งมาจากหลายพรรคการเมืองและภาคประชาชน โดยคณะกรรมาธิการฯ กำลังเร่งพิจารณาอย่างรอบคอบ หวังทำให้เสร็จภายในสิ้นปี 2567 เพื่อมอบเป็น “ของขวัญ” ให้กับประชาชน