ทีมตำรวจสางคดี“ดิไอคอน”ต้องยึดกม.ให้มั่น-อย่าตามกระแสแนะควรเชิญอัยการร่วมอุดช่วงโหว่

401

        ดิไอคอน จัดว่าเป็นคดีที่ดราม่าหนักสุดในรอบหลายสิบ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นเซเลบในวงการต่างๆ ทั้งนักการเมือง ดารา พิธีกร อัยการ ตำรวจ ทหาร รวมถึงชาวบ้านในระดับรากหญ้า เกี่ยวพันผลประโยชน์นับหมื่นล้าน มีทั้งผู้เสียผลประโยชน์และผู้ได้รับผลประโยชน์



     เมื่อกลายเป็นคดีความที่สื่อทุกสำนักรวมทั้งโลกโซเซียล นำเสนอกันอย่างแพร่หลายทั้งแง่ลบและบวก รายการต่างๆที่นำเสนอประเด็นข่าวร้อน เชิญผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ทั้งทางตรงและและทางอ้อม และผู้เสียหายที่เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัทดิไอคอนฯ มาออกรายการแบบเผชิญหน้า  รวมถึงเชิญ บอสพอล นายวรัตน์ วรัทย์วรกุล ซีอีโอของบริษัทฯ มาซักถามถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

       ขณะเดียวกันมีความเคลื่อนไหว จากผู้เสียหายทั่วประเทศเข้าแจ้งความเพื่อเอาผิดกับบริษัทดิไอคอนฯผ่านสถานีตำรวจทั้งในนครบาลและภูธรกว่า 1,100 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 400 ล้านบาท

      จากที่มีผู้เสียหายจำนวนมากทำให้เกิดช่องว่างในการหาประโยชน์จากพวกอินฟูลเอนเซอร์บางคน บางกลุ่มรวมถึงทนายความบางคน ด้วยการโทรศัพท์ไปติดต่อกับผู้เสียหายที่อยากได้เงินคืน โดยแจ้งว่าหากจะให้ช่วยดำเนินการ ต้องจ่ายค่าตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดที่เปิดบิลไว้กับดิไอคอนฯ แต่ต้องจ่ายก่อนจึงจะดำเนินการให้

     เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทฯมีรายได้จำนวนมหาศาลในเวลาแค่ 6 ปี กระแสดราม่าถูกปล่อยออกมาเป็นระลอก โดยเฉพาะการออกมาแฉของเอก สายไหมต้องรอด ระบุว่ามีสายลับทักมาในเพจว่าบอสมีความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ระดับสูงในรัฐบาล และเป็นผู้ดูแลโดยใช้คำว่าเทวดา มีการเซ่นเทวดา ใช้เงินสดฟอกแปลงเป็นเงินดิจิตอล จำนวนมากและ สายลับระบุว่าจ่ายเทวดาตั้งแต่ปี 2563

      ขณะเดียวกันมีผู้รู้บางคนได้วิเคราะห์ถึงระบบการทำงานของบอสพอล วางแผนอย่างชาญฉลาดศึกษากฎหมายอย่างละเอียดอุดช่องโหว่ที่จะเอาผิดไว้ทั้งหมด รวมถึงการจ่ายภาษีเงินได้ที่ไม่ขาดตกบกพร่อง หากจะเอาผิดคงยากลำบากแน่นอน

      เมื่อมองบริบทโดยรวมแล้วคดีนี้จัดว่าเป็นงานหินอีกงานหนึ่งของตำรวจ ดังนั้นก้าวย่างในการสอบสวนเพื่อนำไปสู่การแจ้งข้อหาดำเนินคดี พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง มีความชัดเจนในข้อกฎหมาย ที่สำคัญอย่าทำตามกระแสเรียกร้องของผู้ประกาศข่าวหรือพิธีกรรายการข่าวต่างๆที่พยายามออกมาย้ำพร้อมตั้งคำถามบ่อยครั้งว่าผ่านมาหลายวันแล้วทำไมถึงไม่แจ้งข้อหาหรือออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง

       สำหรับการให้ข่าวหรือสัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีของตำรวจ ช่วงแรกที่เริ่มแจ้งความและเรียกผู้เกี่ยวข้องไปสอบสวน ยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควร บางจังหวะออกอาการเป๋เมื่อถูกผู้สื่อข่าวซักถาม แต่ดูเหมือน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)จะมองเห็นปัญหาและหวั่นจะกลายเป็นช่องโหว่ให้ทีมทนายความของผู้ถูกกล่าวหาไปใช้ต่อสู้ในชั้นศาลได้

     จึงมอบหมายให้ พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(รองผบช.ก.)ทำหน้าที่ให้ข่าวแต่เพียงผู้เดียว ถือว่าเดินมาถูกทาง แต่เนื่องจากเป็นคดีใหญ่มีผู้เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมากบวกบริษัทฯมีทุนทรัพย์ล้นเหลือ ย่อมมีกำลังเงินว่าจ้างทีมทนายความที่มีความช่ำชองในเชิงกฎหมายไว้เตรียมสู้คดีอย่างแน่นอน ดังนั้น พลงต.ต.โสภณ ต้องทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังก่อนให้ข่าวควรศึกษาข้อมูลและข้อกฎหมายให้ชัดเจนก่อน เพื่อจะไม่ติดกับดักของฝ่ายตรงข้ามได้

    หากมองถึงบริบทของคดีจะพบว่าเกี่ยวพันกับกฎหมายหลายฉบับ บางฉบับมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นร่วมบังคับใช้กฎหมายได้ด้วย บวกกับบริษัทดิไอคอนฯก่อร่างสร้างตัวมากว่า 6 ปี ผลประกอบการมูลค่านับหมื่นล้านบวกกับก้าวย่างของผู้บริหารฯอิงกับข้อกฎหมายแบบไร้ช่องโหว่  

    ดังนั้นเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการทำสำนวน สามารถนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการศาลได้ ทางทีมพนักงานสอบสวน ควรเสนอให้ ผบ.ตร.ประสานกับอัยการสูงสุด ส่งทีมอัยการมาเป็นที่ปรึกษาวางแนวทางการสอบสวนหรือร่วมสอบสวนเพื่อปิดช่องโหว่ที่คาดว่าทางทีมทนายความของผู้ถูกกล่าวหาจะใช้เป็นช่องทางในการสู้คดีให้หลุดได้

        แนวทางนี้นอกจากจะทำให้สำนวนคดีเกิดความรวดเร็วแล้ว  อัยการสามารถนำคดีส่งฟ้องศาลได้รวดเร็วอีกต่างหาก รวมถึงอาจจะช่องอุดช่องโหว่ที่ผู้ต้องหาจะใช้ช่องทางร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เพื่อประวิงเวลาได้อีกด้วย เพราะถ้าร้องขอความเป็นจริงสามารถจะตรวจสอบได้รวดเร็ว เนื่องจากมีอัยการร่วมวางรูปคดีมาตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน

     เมื่อมององค์ประกอของรูปคดีโดยรวมแล้วจัดว่าเป็นคดีใหญ่มีผู้เกี่ยวข้องที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังจำนวนมาก บวกกับผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยต้องสิ้นเนื้อประดาตัว หลายคนต้องมาจบชีวิต หลายคนอยู่ในภาวะซึมเศร้า ผู้เสียหายเหล่านี้ต่างคาดหวังว่าตำรวจจะช่วยผดุงความเป็นธรรมให้ได้

      ดังนั้นเพื่อให้ความคาดหวังของผู้เสียหายเป็นจริง ทุกย่างก้าวในการรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการด้วยความรัดกุม ยึดมั่นในบทบัญญัติกฎหมาย สอบสวนอย่างตรงไปตรงมา อย่าเดินตามกระแสดราม่า และอย่าหวั่นไหวกับผลประโยชน์ที่อาจจะถูกเสนอเข้าระหว่างทาง เพราะหากพลาดพลั้ง องค์กรตำรวจจะถูกประณามหรือกลายเป็นแพะรับบาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ !!!