รัฐบาลแจกเงินหมื่นล็อตแรก หวังกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ? เชื่อทุนใหญ่เป๋าตุง-กู้นอกระบบยิ้มร่า

684



น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการกว่า 14.5 ล้านคนเป็นเงินกว่า 145,552.40 ล้านบาท ด้วยการแจกเงินคนละ 10,000 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา

     โดย น.ส.แพทองธาร ชี้ว่าเป็นการกระตุ้นครั้งใหญ่ ระบบเศรษฐกิจจะถูกเติมเงินหมุนเวียนกว่า 145,552.40 ล้านบาท สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจลูกใหญ่ลูกแรก ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ต่อลมหายใจให้ประชาชนรายเล็กที่กำลังเดือดร้อน ซึ่งการแจกเงิน 10,000 บาทล็อตแรกเป็นการต่อลมหายใจให้กับประชาชนรายเล็กได้จริง เพราะต่างเผชิญกับรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง และความเดือดร้อนนี้มิได้มีเฉพาะรายเล็กหรือกลุ่มเปราะบางเท่านั้น มนุษย์เงินเดือนหรือคนระดับกลางเดือดร้อนเช่นกัน กว่าจะถึงเดือนใหม่ต่างรัดเข็มขัดจนเอวกิ่ว

    เมื่อนโยบายนี้ถูกผลักดันออกมาเป็นรูปธรรม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบมากกว่าบวกแถมไม่ได้ดำเนินการตามที่พรรคเพื่อไทยสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง หากย้อนดูถึงนโยบายแจกเงินติจิทัล 10,000 บาท เป็นเรือธงของพรรคเพื่อไทย มีการปูทางให้ความรู้ตั้งแต่ก่อนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยุบสภาฯเลือกตั้งใหม่  ช่วงเวลานั้นแกนนำพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น นายภูมิธรรม เวชยชัย นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นต้น เคลื่อนไหวในนามกลุ่มแคร์ และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ร่วมวงสนทนาผ่านสื่อออนไลน์กันแทบทุกสัปดาห์

    ทางวอยซ์ทีวีสื่อในเครือข่ายตระกูลชินวัตรรวมถึงสมาชิกพรรคเพื่อไทย  นำมาไปขยายความว่าการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับทุกคนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป สามารถจะนำไปสร้างอาชีพให้แต่ละครอบครัวได้ทำควบคุมคู่กับนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์  มีการยกตัวอย่างครอบครัวเกษตรกร มีสมาชิก 5 คน จะได้รับเงินจำนวน 50,000 บาท สามารถที่จะนำไปลงทุนสร้างอาชีพเสริมได้ อาทิ เลี้ยงปลา เลี้ยงวัว เลี้ยงหมูหรือทำการเกษตรด้านอื่น สร้างความหวังให้กับชาวบ้านอย่างมาก

  “จอมมารน้อย”ปลื้มปริ่มไม่น้อย เคยนำมาสื่อสารขยายความว่าหากนโยบายนี้ทำได้จริงจะช่วยสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี และเป็นความหวังของหนุ่มสาวในโรงงานที่ต้องตกงานช่วงโควิดกลับไปซบอกพ่อแม่จะได้มีทุนทำมาหากิน แต่เมื่อรัฐบาลเพื่อไทยได้บริหารประเทศนโยบายนี้ไม่ได้ถูกนำปฏิบัติตามที่สัญญาไว้ มีแต่คำสัญญาลมๆแล้งๆจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และเล่นบทเลื่อยแล้วเลื่อนอีกและเลื่อนต่อไปจนตกเก้าอี้ พอถึงยุค น.ส.แพทองธาร มีการทวงสัญญานโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่าจะดำเนินการได้หรือไม่  ปรากฏว่ามีเสียงตอบจากนายทักษิณ ว่าแอบได้ยินจากแกนนำเพื่อไทย อาจจะแจกเงินสด 10,000 บาท กับกลุ่มเปราะบางก่อน

ซึ่งเป็นไปตามที่นายทักษิณ ได้ยินมาความหวังของหลายครอบครัวที่คาดหวังจะได้เงินก้อนมาทำทุนประกอบอาชีพพังครืน เพราะรัฐบาลทยอยแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบางก่อน บางครอบครัวได้แค่หมื่นเดียว หรือบางครอบครัวได้แค่สองหมื่น เพราะสมาชิกในครอบครัวไม่ได้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกคน เงินก้อนกลายเป็นเบี้ยหัวแตก ไม่สามารถที่จะนำไปสร้างอาชีพได้เพราะแต่ละครอบครัวต่างมีภาระที่ต้องใช้จ่าย  เงินหนึ่งหมื่นบาทพอบรรเทาไปได้ระยะหนึ่งเท่านั้น หลายครอบครัวมีหนี้สินจะนำไปใช้หนี้

  สื่อหลายสำนักได้สำรวจความเห็นของชาวบ้านว่าได้เงิน 10,000 บาท จะใช้จ่ายอย่างไร ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า นำไปซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค ประเภท ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องใช้ประจำวันประเภทผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟันและบะหมี่สำเร็จ ตุนไว้ใช้ เพราะมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ชาวบ้านบางคนบอกว่านำไปใช้หนี้นอกระบบที่กู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าขายอาหารรายย่อยบอกว่าจะนำไปใช้หนี้นอกระบบที่กู้มาซื้อวัตถุดิบในการปรุงอาหารขาย เพราะที่ผ่านมาค้าขายแทบจะไม่มีกำไร บางวันติดลบเนื่องจากลูกค้ามาใช้บริการน้อย

    ดังนั้นเมื่อประเมินจากเสียงสะท้อนดังกล่าว เงิน 10,000 บาท ที่รัฐบาลคาดหวังให้เป็นพายุหมุนลูกใหญ่ลูกแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจกระจายลงในทุกพื้นที่  คงได้แค่ฝันเพราะเงินส่วนใหญ่จะไปตุงอยู่ในกระเป๋านายทุนใหญ่ เจ้าของกิจการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ชาวบ้านแห่ไปซื้อตุนไว้ใช้  ขณะเดียวกันกลุ่มนายทุนเงินกู้นอกระบบยืนลูบปากเพราะลูกหนี้จะนำเงินก้อนหนี้ไปใช้หนี้ บางคนถึงขั้นไปยืนรอรับเงินลูกหนี้ถึงหน้าตู้เอทีเอ็ม จนนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาคำรามว่า”รับไม่ได้ ทางตำรวจรับทราบแล้ว หากมีการข่มขู่หรือคุกคามเกิดขึ้นสามารถแจ้งตำรวจได้ทันที”
พฤติกรรมนายทุนเงินกู้นี้สะท้อนได้ชัดเจนว่านโยบายที่นายเศรษฐา มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย จัดระเบียบพวกนายทุนเงินกู้นอกระบบล้มเหลว

       ดังนั้นเมื่อมองถึงเสียงสะท้อนจากชาวบ้านพอทำนายได้ว่านโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567 ไม่ได้ช่วยให้เกิดพายุหมุนลูกใหญ่เลย เพราะเงินส่วนใหญ่ไหลไปตุงอยู่ในกระเป๋าทุนและนายทุนเงินกู้นอกระบบมากกว่า โดยที่พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยตามตลาดนัดได้แต่ยืนมองด้วยตาปริบๆ!!!