แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังเหิมหนัก งัดสารพัดรูปแบบตุ๋นชาวบ้าน รัฐบาลอย่าปล่อย ตร.ลุยเดี่ยว

731


       แม้รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประกอบด้วยหลายหน่วยงานอาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)เป็นต้นเพื่อจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ และหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ ยังไม่สามารถลดความเหิมเกริมของอาชญากรเหล่านี้ได้มากนัก

     แม้จะมีผลงานปราบปรามตามที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี)แถลงว่ามีการจับกุมคดีออนไลน์ปิดเว็บพนัน ปิดกั้นโซเซียลมีเดียผิดกฎหมาย เร่งอายัดตัดตอนการโอนเงินผ่านบัญชีม้าในเดือนสิงหาคมระงับกว่า 1,000,000 บัญชี และระงับซิมม้าแล้วกว่า 2.8 ล้านเลขหมาย เป็นผลงานที่น่าพอใจก็ตาม

  เพราะช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาตำรวจสืบสวนนครบาลจับกุมน.ส.พลอยณภัทร หรือ พลอย ดาวติ๊กต๊อก หนีหมายจับคดีลักทรัพย์ ได้คาด่านตรวจคนเข้าเมือง อรัญประเทศ สระแก้ว ขณะเดินทางกลับไทย โดยน.ส.พลอย สารภาพว่า ประสบปัญหาทางการเงินเข้าไปขโมยทรัพย์สินในบ้านแฟนหนุ่ม จากนั้นหลบหนี ติดต่อไปที่ติ๊กต๊อกหนึ่งรับสมัครเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการระบุหากทำงานจะได้เงินเดือนๆละ 25,000 บาท ถ้าทำยอดหลอกลวงแตะตามเป้าขั้นต่ำ 50,000-100,000 บาท จะได้เพิ่มเริ่มต้นที่ 5 เปอร์เซ็นต์ตามยอดเงินที่หลอกได้/วัน แต่หากทั้งเดือนหลอกไม่ได้ถึง 50,000 บาท จะไม่ได้เงินเดือนเลย

 “เห็นรายละเอียดน่าสนใจจึงข้ามไปกัมพูชาตามเส้นทางธรรมชาติไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำงานชั้น 12 ของอาคาร 25 ชั้น รูปแบบหลอกให้รักแล้วชวนทำภารกิจดันสินค้าที่ไม่มีอยู่จริง หัวหน้าให้สร้างโปรไฟล์เฟสบุ๊กและไลน์ ตีสนิทกับเหยื่อก่อนประมาณ 15 วัน”น.ส.พลอยระบุและว่าเมื่อเหยื่อหลงรักจะชักชวนให้เข้ากลุ่มไลน์ มีไลน์อวตาร 4 ตัวเป็นหน้าม้า ทำสลิปโอนเงินปลอมเพื่อล่อใจเหยื่อให้ทำภารกิจดันสินค้า มีเหยื่อหลงเชื่อและเริ่มคุยแล้ว 10 คน อยู่ตึก 25 ชั้นได้เพียง 1 สัปดาห์ คดีลักทรัพย์เกิดเป็นข่าว บอสชาวจีนย้ายตนไปหลบที่ออฟฟิศ 4 ชั้น ทำงานในรูปแบบเดียวกัน แต่เปลี่ยนตัวสินค้าให้เหยื่อทำภารกิจ

 “แห่งที่ 2 ให้ใช้เฟสบุ๊กอวตารชื่อก้อยแค่ตัวเดียว ได้ลูกค้าคุยด้วย 20 กว่าคนมีผู้หลงชื่อให้หลอก 1 คนเป็นเงิน 25,000 บาท เคยเห็นคนเก่งๆในแก๊งฯสามารถหลอกพยาบาลสาวได้เงินถึง 5,000,000 บาท จึงตั้งใจทำงานมากขึ้นหวังได้เงินเยอะๆแต่ทำงานได้ระยะหนึ่งประสบปัญหา ถูกบีบบังคับให้เป็นเมียน้อยบอสให้เงินเดือนละ 30,000 บาท ไม่ต้องทำอะไร จึงปฏิเสธ ถูกไล่ออกเข้าไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์แห่งที่ 3 คล้ายรูปแบบเดิมคือหลอกให้รักแล้วชวนลงทุนเทรดหุ้นในแพลตฟอร์มเก๊ สุดท้ายเหยื่อถอนเงินไม่ได้ ทำงานได้เพียง 3 วัน แฟนทักมาว่าตำรวจกำลังไปตามจับจึงหลบหนี”น.ส.พลอยบอกและว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์คงแก้ไม่ได้เพราะรายได้ดี ล่อตาล่อใจให้คนมาทำได้ง่าย

      จากคำบอกเล่าทำให้เห็นว่ารูปแบบนี้จะแตกต่างจากรูปแบบที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำประจำนั่นคือโทรศัพท์หลอกเหยื่ออ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือส่งข้อความพัสดุตกค้าง ดูจากคำบอกเล่าแล้วน่าจะมีเหยื่อประเภทสายเปย์หรือพวกหัวงูหลงเชื่อจำนวนมากแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวเพราะกลัวอับอาย

     อีกกรณีที่น่าเป็นห่วงเมื่อตำรวจสืบสวนภาค 2ร่วมมือกับกรรมการกำกับสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในอ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ขยายผลพบข้อมูลส่วนบุคคลมีลักษณะเดียวกับข้อมูลของกรมบัญชีกลาง จำนวน 23,000 รายการ ในจำนวนดังกล่าวกลายเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถึง 296 รายและถูกแอปดูดเงินไป 48 ราย

  หลังสำนักข่าวไทยแทบลอยด์เสนอข่าวออกไปมีการตั้งข้อสังเกตว่ากรมบัญชีกลางยังถูกล้วงตับ แล้วจะไว้ใจหน่วยงานรัฐไหนได้บ้าง แม้ทางอธิบดีกรมบัญชีกลางจะยืนยันว่าระบบของกรมบัญชีกลางไม่ได้ถูกแฮกและเป็นข้อมูลเก่า แต่จะตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนให้กระจ่าง ประเด็นนี้สร้างความหวั่นไหวให้กับบรรดาข้าราชการและอดีตข้าราชการจำนวนมาก เพราะหลายรายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์ไปต้มตุ๋นอยู่บ่อยครั้งมีทั้งหลงกลและไม่หลงกล

   สำหรับข้อมูลส่วนบุคคลที่หลุดไปอยู่ในมือของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มิได้มีเพียงกรมบัญชีกลางเท่านั้นที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ ข้อมูลจากธนาคารบางแห่งหรือข้อมูลจากบริษัทมือถือเป็นต้น เมื่อมองแล้วคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไทยจะถูกแก๊งคอลเซ็นต้มตุ๋นได้ตลอดเวลา เพราะต่างมีข้อมูลอยู่เต็มมือ สามารถหาได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบหรือซื้อข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อย่างกรณีของกรมบัญชีกลางที่ยืนยันว่าไม่ถูกเจาะระบบและเป็นข้อมูลเก่าน่าจะพอคาดเดาได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ฯบางคนนำข้อมูลไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่

   ยิ่งกรณีที่ น.ส.พลอย บอกเล่าและทิ้งท้ายว่าปราบไม่ได้ผนวกกับการขยายผลของตำรวจเข้าตรวจสอบที่กรมบัญชีกลาง พอที่จะอนุมานได้ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศจริงๆ หากรัฐบาลจะหวังแก้ปัญหาให้เบาบางถึงขั้นหมดไป อย่าปล่อยให้ตำรวจลุยแบบโดดเดี่ยว ควรเข้าจัดการแก้ปัญหาแบบบูรณา ทำงานเชิงรุกแบบข้ามประเทศเพราะต่างทราบกันดีว่ากัมพูชาคือฐานที่มั่นใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีอดีตบิ๊กตำรวจก่อนเกษียณอายุได้บอกกับ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีว่าถ้าจะแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้บรรลุเป้าหมายต้องจับเข่าคุยกับรัฐบาลกัมพูชาเท่านั้น จะหวังพึ่งตำรวจคงทำได้แค่จับกุมพวกปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น

      คงต้องวัดใจนายกรัฐมนตรีว่ากล้าพอที่จับเข่าคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาหรือไม่ เพราะผลประโยชน์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีมากเหลือเกิน !!!