ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำโดย ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ กรรมการธนาคาร ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กรรมการบริหาร ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท นายศิริเดช เอื้องอุดมสิน รองผู้จัดการใหญ่ และนายรชฏ เสกตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายลูกค้าธุรกิจรายปลีกนครหลวง ร่วมให้การต้อนรับ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในโอกาสร่วมเปิดหลักสูตรอบรม The Big Blue Ocean รุ่นที่ 3 สานต่อความเป็น “เพื่อนคู่คิด” เคียงข้างธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดึงผู้บริหารและดิจิทัลกูรูชั้นนำระดับประเทศ แชร์ประสบการณ์หลากหลายแง่มุมของการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ประเดิมเปิดหลักสูตรวันแรกได้รับเกียรติจากนายเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทคาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บรรยายในหัวข้อ Capturing New Opportunity in the Age of Digital
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมใน 2 รุ่นที่ผ่านมา ธนาคารได้เปิดหลักสูตรอบรม “The Big Blue Ocean” รุ่นที่ 3 เพื่อเป็นเวทีเรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ และดิจิทัลกูรูระดับประเทศที่จะมาถ่ายทอดความรู้แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ผู้ประกอบการ เจ้าของหรือทายาทธุรกิจ ที่ต้องการยกระดับศักยภาพทางธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว หรือ Digital Transformation เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าควบคู่กับเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ และพร้อมปรับตัว ให้เข้ากับทุกสถานการณ์ตลาดโลก โดยครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่การเริ่มกำหนดกลยุทธ์ วางแผนและลงมือปฏิบัติงาน ไปจนถึงทำการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์
“ตอนนี้ถึงเวลาที่ภาคธุรกิจจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอย่างจริงจัง เพราะในระยะยาวธุรกิจที่ยังไม่ปรับตัวก็จะถูกกลืนหายไปในโลกของยุคดิจิทัลที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว และเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ผู้ประกอบการในปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และตอบรับเข้าร่วมโครงการ The Big Blue Ocean รุ่นที่ 3 กว่า 40 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากความรู้และประสบการณ์จากผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้เกียรติเป็นวิทยากรตลอดระยะเวลา 3 เดือนแล้ว ยังเป็นโอกาสดีที่ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้เริ่มต้นทำความรู้จักและสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งภายในรุ่นและระหว่างรุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งอาจนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้ตามที่เกิดขึ้นในรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ มีผู้เข้าอบรมจำนวนไม่น้อยที่นำโพรเจกต์จบโครงการไปต่อยอดกับธุรกิจตนเองได้จริงและเกิดผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม นับเป็นความภาคภูมิใจของธนาคารในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงความรู้และเริ่มต้นปรับตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับธุรกิจตัวเองมากที่สุด” ดร.กอบศักดิ์กล่าว
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวปาฐกถาในฐานะประธานในพิธีการเปิดโครงการว่า การมาถึงของยุคดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอีกมากมายในอนาคต ดังนั้น ทุกคนต้องเร่งปรับตัวให้เท่าทันกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะหากปรับตัวไม่ทัน จะไม่ใช่แค่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่จะถูกมองข้ามและไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกอีกต่อไป โดยสิ่งที่โลกสมัยใหม่ต้องการคือ “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” ไม่เพียงแค่สินค้าหรือผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ “บุคลากร” ก็ต้องเพิ่มมูลค่าตัวเอง โดยเฉพาะการหาองค์ความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอและเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ มองว่าในอนาคตจะมีประเด็นด้านความมั่นคง 3 เรื่องที่เป็นโอกาสสำคัญของภาคธุรกิจ ได้แก่ ความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อรองรับประชาคมโลกที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆ ที่คำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัย ความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งต้องเป็นพลังงานสีเขียว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายความมั่นคงด้านมนุษย์ ทั้งการส่งเสริมให้มีความรู้เพิ่มพูนขึ้น การดูแลรักษาสุขภาพและยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
“สิ่งสำคัญที่จะพาทุกฝ่ายก้าวข้ามความท้าทายเพื่อไปสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น คงไม่ใช่เพียงหน้าที่ของภาครัฐ หรือ ภาคเอกชน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คือความร่วมมือของทุกคนที่จะช่วยกันคว้าโอกาสให้เข้ามาสู่ประเทศไทย สู่นักธุรกิจไทย ด้วยการสร้างเครือข่ายที่พึ่งพาอาศัยกัน ร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ แนะนำจุดแข็ง และวิธีการแก้ไขจุดอ่อน ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดี ที่ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะสถาบันการเงินอันดับต้นๆ ของไทยจะเป็นตัวกลางในการสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจที่เข้มแข็ง และช่วยให้เกิดการปรับตัวรับยุคดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง” นายมาริษกล่าว
ด้านนายเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้บรรยายในหัวข้อ Capturing New Opportunity in the Age of Digital ในโอกาสเปิดโครงการนี้ว่า สิ่งสำคัญสำหรับการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึง 4 เรื่อง ได้แก่
1) โอกาส เป็นสิ่งสำคัญและมีอยู่เสมอ แม้หาไม่เจอก็สร้างขึ้นมาได้ ความลับของโอกาส มักจะซ่อนตัวอยู่หลังเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่ท้าทายมากๆ เช่น ถ้าเราตั้งเป้าหมายให้บริษัทเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 30% ทุกคนรู้ว่าไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีการแบบเดิมก็ต้องทบทวนและหาวิธีใหม่ หาโอกาสใหม่ ดังนั้น เป้าหมายที่ท้าทาย จะทำให้องค์กรมีพลังค้นหาโอกาส
2) ข้อมูลบิ๊กดาต้า เป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด แต่ที่สำคัญจะต้องมีวิธีจัดหมวดหมู่ เพื่อใช้วิเคราะห์และตัดสินใจทางธุรกิจได้ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็วแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ธุรกิจสามาถเห็นปัญหาและแก้ไขได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องรอข้อมูลแบบรายเดือน เพราะช้าเกินไปสำหรับยุคดิจิทัล
3) วัฒนธรรมองค์กร ต้องสนับสนุนให้คนในองค์กร “มีความยืดหยุ่นสูง” สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะวิธีคิดและกระบวนการทำงาน เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมหรือวิธีการเดิม ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับ “ความถูกต้องแม่นยำ” เพราะการทำงานกับข้อมูลต้องมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มามีความถูกต้อง แม่นยำ ชัดเจน จึงจะนำไปสู่การวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้มีประสิทธิภาพ และ
4) ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ควรนำมาใช้ทำ “เรื่องใหม่” คือเรื่องที่ในองค์กรยังไม่มีใครรู้ และ “เรื่องใหญ่” คือเรื่องที่ไม่สามารถใช้มนุษย์เพียงไม่กี่คนมาคิดได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“เราใช้ AI ในการบริหารธุรกิจได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด สามารถใช้ AI วิเคราะห์ตลาด แบ่งกลุ่มเป้าหมาย กำหนดตำแหน่งแบรนด์ให้แตกต่าง ช่วยบอกข้อมูลและพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมาย พร้อมวิเคราะห์และวางแผนการตลาดมาให้ด้วยข้อมูลขั้นต้น ซึ่งจากเดิมที่ต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษาอาจใช้เวลาวิเคราะห์นานเป็นปี ข้อมูลอาจไม่จริง และราคาค่าจ้างสูง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ AI ทำได้ในเวลาอันสั้น บางคนอาจกังวลว่า AI จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือกว่ามนุษย์ ส่วนตัวมองว่า กังวลไปก็เท่านั้น ควรคิดว่าจะใช้ประโยชน์จาก AI อย่างไรมากกว่า” นายเสถียรกล่าวทิ้งท้ายการบรรยาย
สำหรับหลักสูตร The Big Blue Ocean รุ่นที่ 3 ได้รวมเนื้อหา Digital Transformation เอาไว้อย่างเข้มข้น พร้อมส่งตรงความรู้และประสบการณ์จากวิทยากรสุด Exclusive มากกว่า 20 ท่าน ตลอดระยะเวลาหลักสูตร 13 สัปดาห์ แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 แกนหลัก คือ แกนการพัฒนากลยุทธ์ (Strategy) เช่น Reimagine Digital Transformation มุมมองใหม่ในการปรับเปลี่ยนองค์กร ผ่าน Digital Transformation ปรับอย่างไรให้มากกว่าแค่ได้เปลี่ยน โดยนายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้าน Digital Transformation ครบวงจร แกนการปฏิบัติงาน (Operation) เช่น หัวข้อ Artificial Intelligence and Machine Learning ธุรกิจสามารถใช้ AI และ Machine Learning มาช่วยสร้างความได้เปรียบได้อย่างไร โดยนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และแกนการตลาด (Marketing) เช่น หัวข้อ Storytelling and Brand Creation เล่าเรื่องอย่างไรให้โดนใจลูกค้าและเพิ่มมูลค่าแบรนด์ โดยนายญาณวุฒิ จรรยหาญ หรือ “พี่เอ็ด 7 วิ” อินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง ทั้งยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งช่องยูทูบ “เสือร้องไห้” และเพจ “พี่เอ็ด 7 วิ” เป็นต้น
นอกจากนี้ หลักสูตรดังกล่าวยังประกอบด้วยกิจกรรมการศึกษาดูงานจากบริษัทชั้นนำ เช่น Google และ Lazada รวมถึงการศึกษาดูงาน ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นเมืองศูนย์กลางสำคัญของโลกเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ พร้อมเยี่ยมชมนวัตกรรมจากบริษัทชั้นนำ อย่าง Alibaba และ Huawei เป็นต้น และก่อนจบหลักสูตรผู้เข้าร่วมอบรมจะได้ลงมือทำโครงการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ขยายธุรกิจ เพื่อประมวลผลความรู้และต่อยอดด้วยการประยุกต์ใช้จริงกับธุรกิจ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของธนาคารร่วมประเมินผลการนำเสนอโครงการอย่างเข้มข้นอีกด้วย