“มาตรฐานจริยธรรม” เครื่องมือใหม่ พิฆาตนักการเมืองประวัติมัวหมอง

833



        หากมองสถานการณ์ทางการเมืองขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกำลังฟอร์มคณะรัฐมนตรี(ครม.)จะเห็นปรากฏการณ์โหยหาอำนาจของบรรดานักการเมือง แบบไม่ใยดีต่อความรู้สึกของประชาชนที่ลงคะแนนเลือกเข้ามาเล่นเกมชิงอำนาจกันแบบยอมหักไม่ยอม


        แม้แต่พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็เล่นเกมอำมหิตตัดขาดพรรคพลังประชารัฐไม่ให้ร่วมรัฐบาล แบบพลิกความคาดหมายของแกนนำพรรค จนมือกฎหมายของพรรคต้องหาช่องทางที่ฟาดฟันไม่ให้พรรคเพื่อไทยจัดทัพได้อย่างราบรื่น


          ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพรรคเพื่อไทยแบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันมากว่า 20 ปี ยังยอมสยบมาร่วมชายคาเดียวกับเพื่อไทย จนนายชวน หลีกภัย ผู้อาวุโสของพรรคต้องควักมีดโกนออกมาตวัดไปมาใช้วาจาเชือดเฉือนจนถูกมองว่าเป็นพวกแผ่นเสียงตกร่อง แต่ในที่สุดทั้งแกนนำพรรคพลังประชารัฐและบรรดาผู้อาวุโสของประชาธิปัตย์ต่างตกอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  แต่การกระทำที่พรรคเพื่อไทยกระทำต่อทั้งสองพรรคเชื่อบรรดาสมาชิกคงไม่ปล่อยผ่านและจ้องจะเอาคืนอย่างแน่นอน จะออกมารูปแบบใดต้องติดตาม


          แต่ในห้วงเวลาเดียวกันที่รายชื่อบรรดาแคนดิเดตรัฐมนตรีจากพรรคต่างๆส่งถึงมือแกนนำพรรคเพื่อไทยและน.ส.แพทองธาร เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ทีจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นั่นคืออาการผวามาตรฐานจริยธรรมและคุณธรรม ของนักการเมืองที่ประวัติมัวหมองรวมถึงน.ส.แพทองธารที่ต้องเสนอชื่อรัฐมนตรีเพื่อทูลเกล้าฯ


           เพราะนับแต่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจาแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ทนายความประจำตระกุลชินวัตร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่เคยมีประวัติต้องคดี โดยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีลักษณะต้องห้าม


          ส่งผลให้บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย ต้องพิถีพิถันกลั่นกรองประวัติและคุณสมบัติเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยแบบนายเศรษฐา เพราะถ้าพลาดครั้งนี้เสมือนควักหัวใจของนายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่แห่งเพื่อไทย ที่เดินเกมแบบเทหมดหน้าตักดันลูกสาวสุดรักนั่งกุมบังเหียนประเทศ จนมีกระแสข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต่างเสนอรายชื่อเกินโควตาที่แบ่งเค้กกัน เพื่อกันเหนียวหากตัวจริงเสียงจริงตรวจสอบพบว่ามีประวัติเคยต้องคดี หรือมีประวัติถูกร้องเรียนอยู่ในองค์กรอิสระต่างๆจะได้เปลี่ยนเป็นตัวสำรองที่ประวัติไม่มัวหมอง เพื่อไม่ให้เสียเวลากลับมาตั้งหลักหาคนใหม่ แต่เท่าที่ติดตามข่าวรายชื่อสำรองหรือรายชื่อที่เกินไปล้วนมีเงาของแกนนำพรรคที่แคนดิเดตรัฐมนตรีทาบทับอยู่ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับเงาของนายทักษิณ ที่ทาบทับ น.ส.แพทองธาร อยู่


    ถ้ามองอย่างวิเคราะห์”มาตรฐานทางจริยธรรม”จัดว่าเป็นเครื่องมือใหม่ของกลุ่มผู้กุมอำนาจที่วางไว้เพื่อพิฆาตบรรดานักการเมืองที่มีประวัติด่างพร้อยหรือนักการเมืองที่นั่งบริหารประเทศแล้วเกิดอาการเหลิงอำนาจมุ่งแสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง เพราะจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนายเศรษฐา บรรดานักวิชาการมองการการตีความคำว่าจริยธรรมและคุณธรรมไว้ค่อนข้างกว้างขวางแบบไร้ขีดจำกัด สามารถที่จะใช้ได้ทุกกรณีหากมีการร้องเรียนว่านักการเมืองประพฤติปฏิบัติตัวขาดจริยธรรมและความซื่อสัตย์


  ถ้ามองในแง่ดีถือว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมที่จะได้เป็นกรอบให้บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายระมัดระวังในการบริหารประเทศไม่ให้ส่อในทางทุจริตประพฤติมิชอบ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่านักการเมืองไทยเมื่อนั่งในตำแหน่งเสนาบดี จะใช้อำนาจมุ่งแสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องมาโดยตลอด  ซึ่งในอดีตมีตัวอย่างให้เห็นแบบชัดเจนว่าคราวใดที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศแบบไม่ครบเทอมต้องยุบสภาหรือถูกรัฐประหาร สาเหตุหลักล้วนมาจากการทุจริตแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นกรณีแจกส.ป.ก.4-01 ให้กับคนรวย การเลี่ยงไม่จ่ายภาษีเงินได้ การทุจริตโครงการต่างๆรวมถึงการทุจริตเชิงนโยบายที่เอื้อให้กับบริษัทในเครือของผู้นำรัฐบาลเป็นต้น

  ดังนั้นนับแต่นี้ไปเมื่อรัฐบาล น.ส.แพทองธาร เข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ ต้องจับตากันเป็นพิเศษว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะติดกับดัก”มาตรฐานทางจริยธรรม”จนต้องกระเด็นจากอำนาจแบบยกพวงอีกหรือไม่ เพราะเครื่องใหม่พร้อมพิฆาตได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว !!!