สภาผู้ทรงเกียรติแหล่งรวม ร่างทรง-ต้มตุ๋น-ขี้เกียจ-ของจริงน้อย จ้างแพง-สร้างประโยชน์จิ๊บจ๊อย

616



 คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)รับรองผลเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ครบ  200 คนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีควันหลงที่สังคมยังวิพากษ์วิจารณ์ยังอืออึงตั้งแต่การได้มาของสว.รวมถึงคุณสมบัติของสมาชิกสภาสูง

      พลันที่ผลไม่เป็นทางการออกมา ถูกตั้งข้อสังเกตว่า สว.เกินครึ่ง จัดตั้งมาโดยพรรคการเมืองและนักการเมือง เกิดการบูลลี่จาก สว.ชุดลากตั้งโดยเผด็จการทหารบางคนบางกลุ่มว่าประวัติไม่สง่างาม การศึกษาน้อย บางคนเป็นแค่คนขับรถ บางคนเป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาด บางคนเป็นแค่คนประกาศเสียงตามสายประจำหมู่บ้าน

   แต่เสียงเหล่านั้นสงบลงเพราะสังคมส่วนใหญ่ ไม่ตอบรับเสียงวิจารณ์เหล่านั้นแถมถูกตั้งคำถามกลับไปถึงกลุ่ม สว.ร่างทรงว่ารู้อยู่แล้วว่าระบบการเลือกตั้งไม่ดี นั่งเป็น สว.อยู่หลายปี ทำไมไม่คิดแก้ไขกฎกติกา หรือออกมาเพื่อมุ่งหวังจะนั่งรักษาการต่อเสมือนหมาหวงก้าง

   ขณะเดียวกันเสียงวิจารณ์มาดังกระหึ่มเมื่อผู้สมัคร สว.สาวได้คะแนนเสียงอันดับ 1 ถูกขุดคุ้ยว่ากรอกประวัติการศึกษาเกินจริง มีทั้งวุฒิการศึกษาจริงและไม่จริง ใช้คำนำหน้าจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจ่อจะเอาผิดถึงขั้นดำเนินคดีสื่อมวลชนทุกแขนงพุ่งเป้าหาความกระจ่าง สว.สาวกลับหลบลี้แถมตั้งทนายความคอยเก็บหลักฐานข้อที่ถูกบูลลี่หวังฟ้องหมิ่นประมาท แต่นักขุดคุ้ยไม่ได้ลดละหวังจะให้สาวผู้ทรงเกียรติออกมาแถลงความจริง เพื่อไม่ให้สภาสูงเกิดรอยด่าง ผลสุดท้ายจะลงเอยแบบไหนคงต้องติดตาม เพราะหลายหน่วยงานที่ถูกนำไปอ้างหวังเรียกเครดิตจ่อดำเนินคดี

     ถ้าผู้ทรงเกียรติสาวมิได้เป็นตามที่สังคมกล่าวหาควรออกมาแถลงความจริงทุกประเด็นที่ถูกสงสัย โดยยึดคติที่ว่าทองแท้ไม่แพ้ไฟ แต่ถ้ายังวางเฉย หลบเลี่ยง แม้จะมีแบ๊กดีแต่คำว่าปลอมหรือต้มตุ๋น จะถูกนำมาดิสเครดิตทุกครั้งที่แสดงบทบาทในสภาหรือที่สาธารณะ

    แค่ปฐมบทของสภาสูงเสียงครหายังดังกระหึ่มขนาดนี้ หากได้แสดงบทบาทจริงๆประชาชนจะพึ่งพาได้แค่ไหน แม้จะมีส.ว.ที่มีคุณสมบัติแบบตัวจริง เสียงจริง จุดยืนทำเพื่อประเทศชาติ เข้าไปได้ก็เป็นแค่เสียงส่วนน้อย สุดท้ายจะถูกกลืนเป็นเนื้อเดียวกับ สว.ร่างทรงหรือไม่สุดจะคาดเดา ครั้นมองไปที่สภาผู้แทนราษฎร มิได้สร้างปรากฏการณ์อะไรให้ประชาชนคาดหวังได้มากนัก เพราะพฤติกรรมต่างๆไม่ได้แตกต่างจากสภายุคก่อนๆ  

    ห้วงแรกที่ผลการเลือกตั้งออกมา ประชาชนต่างตั้งความหวังจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีจากพรรคก้าวไกล ที่ชนะเป็นอับดับ 1 แม้จะจัดตั้งรัฐบาลล้มเหลว แต่ยังหวังจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ซ้ำรอยเก่า เมื่อถึงเวลาจริงกลับเดินเกมการเมืองแบบต้นตรงปลายคด เล่นเกมยอมให้ถูกขับพ้นพรรคเพียงเพื่อจะนั่งในตำแหน่งรองประธานฯต่อ จนลืมไปว่าที่ประชาชนเลือกนั้นเพราะสังกัดพรรคก้าวไกล

      ขณะที่ สส.มิได้แสดงบทบาทอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลง ซ้ำร้ายกลับไปกลมกลืนกับระบบเดิมๆ แทนที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ทำได้ทันทีนั่นคือเสนอตัดงบประมาณไปดูงานต่างประเทศของผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย มิได้ดำเนินการแถมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)แต่ละคณะที่ก้าวไกลนั่งหัวโต๊ะล้วนแต่เลือกไปงานแถวยุโรปแทบทั้งสิ้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเส้นแบ่งระหว่างดูงานกับเที่ยวแบบเสพสุข เป็นแค่เส้นบางๆ การเดินทางไปดูงานต่างประเทศของผู้ทรงเกียรติคงปฏิเสธไม่ได้ว่าได้กลายเป็นประเพณีปฏิบัติไปแล้วทั้งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศชาติและประชาชนเลย ถ้าเกิดประโยชน์จริงเอกสารที่จัดทำขึ้นหลังไปดูงานคงไม่กองเต็มห้องสมุดรัฐสภาอย่างแน่นอน

     เมื่อมองไปที่บรรดา สส.ประเภทแก่พรรษาหรือพวกขิงแก่ ได้รับเลือกเกือบทุกสมัย ทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ น้อยมากที่จะทำหน้าที่แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแถมขาดประชุมสภาฯจนกลายเป็น สส.ที่ถูกลืม บางคนพอออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัว ถูกสังคมตั้งคำถามว่ายังเป็น สส.ด้วยหรือ บางคนเป็นสส.ระบบบัญชีรายชื่อเบอร์ต้นของพรรคไม่เคยร่วมประชุมสภาฯเลย แต่กลับไปเคลื่อนไหวอยู่นอกสภาฯเพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง


     กลุ่ม สส.เหล่านี้เข้าข่ายงานไม่ทำแต่รับเงินเดือนและใช้สวัสดิการด้านต่างๆแบบเต็มสูบ เฉลี่ยเดือนละเกือบครึ่งล้าน โดยที่ประชาชนเจ้าของภาษีไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

          ที่ยกมาเป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่สังคมมองเห็นได้ ยังไม่นับรวมที่บรรดาลิ่วล้อนักการเมืองนำตำแหน่งในกมธ.ต่างๆไปเซ้งลี้ให้กับพวกที่กระสันอยากมีโพรไฟล์ทางการเมือง แล้วไปแสวงหาผลประโยชน์ลักษณะตบทรัพย์ มีอยู่จำนวนมาก

       ดังนั้นที่จั๋วหัว”สภาผู้ทรงเกียรติแหล่งรวมพวกร่างทรง ตุ้มตุ๋น ขี้เกียจ จริง(น้อย)” คงไม่เกินเลย แต่ใครจะมองว่าเบาไปเชิญตามสะดวก !!!