กมธ.อุตฯ เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูล ถอดบทเรียนกรณีไฟไหม้ถังเก็บสารเคมี ‘มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล’ พร้อมให้กลับไปทำแผนรับมือเพลิงไหม้โรงงานอุตสาหกรรมหนักมาเสนออีกครั้ง หวั่นหากเกิดเหตุซ้ำจะไร้แผนรับมือ อีกทั้ง เสนอให้เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง
วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส. จังหวัดราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม คณะผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ว่า จากเหตุการเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนในบริเวณนั้นอย่างกว้างขวาง คณะกรรมาธิการได้เล็งเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุไฟไหม้ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ควรต้องทบทวนและถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ไฟไหม้ดังกล่าว เพื่อหาแนวทางร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อป้องกันเหตุและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ในวันนี้ คณะกรรมาธิการ จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีไฟไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด คือ กรมควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง สํานักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง สํานักงานเทศบาลเมืองมาบตาพุด และบริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จํากัด มาให้ข้อมูลแก่ทางคณะกรรมาธิการ โดยได้พิจารณาใน 2 ประเด็น คือ 1 แผนการเผชิญเหตุเพลิงไหม้สารเคมีในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม ในเบื้องต้น ได้ให้ความเห็นว่า การดำเนินการดับเพลิงล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น จึงได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทบทวนแผนการดำเนินการดับเพลิง กรณีเพลิงไหม้สารเคมีและเพลิงไหม้ที่ต้องใช้สารเคมีในการดับเพลิงในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม
โดยกมธ.ให้ทบทวนถึงจำนวนรถดับเพลิงที่บรรจุสารเคมี บุคลากรที่มีความชำนาญในการดับเพลิงที่ใช้สารเคมีว่ามีความจำนวนเหมาะสมกับความเสี่ยงหรือไม่อย่างไร อย่างไรก็ตาม แม้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง จะได้ชี้แจงว่าได้มีแผนการดำเนินงานระหว่าง พ.ศ. 2564 ถึง พ.ศ. 2570 อยู่แล้ว และทางการนิคมอุตสาหกรรมจะได้ชี้แจงว่าปัจจุบันมีรถดับเพลิงที่ใช้สำหรับกรณีเกิดจากสารเคมีโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพิจารณาถึงการนำมาใช้ที่ความเหมาะสมได้ ดังนั้น จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับไปพิจารณาทบทวนแผนการเผชิญเหตุ เพื่อให้จังหวัดระยองเป็นจังหวัดต้นแบบในการเผชิญเหตุเพลิงไหม้ในอุตสาหกรรมหนักที่ไม่สามารถใช้น้ำในการดับเพลิงได้ และจะมีการเข้าชี้แจงต่อ กมธ. อุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่ง
นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 คือประเด็นผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งแบ่งออกเป็นผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน พบว่ากรมควบคุมมลพิษได้ร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดระยองได้มีการดูแลช่วยเหลือประชาชนเป็นอย่างดี และไม่พบปัญหาใด ๆ กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการตรวจวัดความปนเปื้อนในน้ำทะเล อากาศ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ บริเวณโดยรอบพบว่าในช่วงแรกของเหตุการณ์มีการปนเปื้อน แต่กลับเข้าสู่ภาวะปกติในเวลาต่อมา
ขณะที่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นได้มีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วประมาณ 10 ล้านบาท ทาง กมธ. อุตสาหกรรม จึงได้เสนอแนะให้เยียวยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
“ในฐานะตัวแทนคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมขอยืนยันว่า คณะกรรมาธิการจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต” นายอัครเดชกล่าว