เย็นยันค่ำของวันที่ 30 มิถุนายน ชาวปทุมธานีรวมถึงคอการเมืองทั่วประเทศต่างลุ้นระทึกกับผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ระหว่าง นายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครหมายเลข 1 กับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หรือ พี่แจ๊ส ของพี่น้องเมืองปทุมฯแชมป์เก่า หมายเลข 3
เมื่อการนับคะแนนสิ้นสุดลง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พ่ายนายชาญ แบบเฉียดฉิว 1,820 คะแนน สร้างความปีติให้กับแกนนำพรรคเพื่อไทย อย่างยิ่งเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าพรรคเพื่อไทยสนับสนุน นายชาญอย่างเต็มที่ นายใหญ่ของพรรคอย่างนายทักษิณ ชินวัตร ถึงขั้นลุยพื้นที่ด้วยตัวเอง พร้อมส่งนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลุยหาเสียง หลังผลโพลระบุว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คะแนนนำโด่ง
สำหรับเบื้องหน้าเบื้องหลังศึกชิงนายยกอบจ.เป็นอย่างไร พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พ่ายแบบเฉียดฉิวพร้อมแถลงยอมรับในทันที แวดวงการเมืองในปทุมธานีต่างวิเคราะห์กันอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นคืนหมาหอน ลงคะแนนเสร็จหีบเลือกตั้งถูกจัดวางกันอย่างไร แต่จะมีใครนำข้อมูลเหล่านี้ไปร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)หรือไม่ คงต้องติดตาม
แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษกลับอยู่ที่คุณสมบัติของนายชาญ เพราะหลังจากคว้าแชมป์ไม่ทันข้ามวันสื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวตรงกันว่า ถ้ากกต.รับรองผลการเลือกตั้ง อาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
เนื่องจากนายชาญ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ปทุมธานี เกี่ยวกับจัดซื้อถุงยังชีพในปี 2555 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำสั่งประทับรับฟ้อง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล แม้ขณะที่ศาลอาญาฯมีคำสั่งประทับรับฟ้อง นายชาญ จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ปทุมธานีก็ตาม แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งเดิมอีกวาระ นายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 93 ประกอบมาตรา 81 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561
สอดคล้องกับความเห็นของนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่าแม้จะกลับมารับตำแหน่งใหม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งวัตถุประสงค์ของคำวินิจฉัยกฤษฎีกาให้เหตุผลไว้แล้วว่าหากถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจาก ป.ป.ช.มีคำสั่งชี้มูล ถึงแม้ระหว่างนั้นพ้นตำแหน่งไปแล้ว และถูกเลือกตั้งเข้ามาใหม่ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หากเข้าไปดำรงตำแหน่งใหม่อาจจะไปยุ่งเหยิงกับคดีที่ผ่านมา และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น เป็นไปตามหลักกฎหมายปกติ
“กรณีนี้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่อัตโนมัติโดยไม่ต้องมีหน่วยงานใดชี้ เพราะเป็นผลพวงทางกฎหมาย ส่วนผู้ทำหน้าที่แทนนายก อบจ.คาดว่าจะเป็นปลัดอบจ.”นายปกรณ์ระบุและว่าหากนายชาญไม่เชื่อ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะเป็นคนชี้เพราะอำนาจหน้าที่การเข้าสู่ตำแหน่งและการปฏิบัติหน้าที่
ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เลี่ยงที่จะตอบคำถามถึงประเด็นของนายชาญ บอกเพียงว่าให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บอกแต่เพียงว่ายังไม่เห็นเรื่องเพราะอยู่ต่างจังหวัด
สำหรับคดีเกี่ยวกับทุจริตถุงยังชีพ มีอดีตนายก อบจ.บางจังหวัดติดบ่วงและศาลตัดสินให้จำคุกมาแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้นายชาญจะได้นั่งตำแหน่งนายก อบจ.หลัง กกต.รับรองผลการเลือกตั้งแล้วหรือต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว คงต้องติดตาม แต่ผลพวงจากเลือกตั้งนาย อบจ.ปทุมธานี ถ้ามองอย่างวิเคราะห์สะท้อนว่าบารมีของนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ถดถอยอย่างยิ่ง เพราะขนาดนายทักษิณ หัวหน้าพรรค แกนนำพรรคและลูกชายนายทักษิณ ลงแรงลุยหาเสียงเอง ยังชนะไม่ถึง 2,000 คะแนน ถ้ายังบารมีจริงชาวบ้านยังยอมรับนายชาญต้องชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แบบทิ้งห่างอย่างน้อย 2-3 หมื่นคะแนน
อีกประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือการคัดเลือกผู้สมัครแบบไม่ตรวจสอบคุณสมบัติว่ามีประวัติถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตหรือไม่ หรือแกนนำพรรคเพื่อไทยมองว่าประเด็นที่กล่าวหาว่าทุจริตเป็นเรื่องปกติสำหรับพรรคเพื่อไทยไปแล้ว
กรณีนี้เสมือนพรรคเพื่อไทยได้ตบหน้าชาวปทุมธานีฉาดใหญ่ ด้วยการส่งบุคคลที่ยังเปื้อนโคลนลงสมัครแบบไม่แคร์ความรู้สึกของชาวบ้าน ผลเสียคือเป็นการตัดโอกาสของจังหวัดปทุมธานีในการพัฒนาด้านต่างๆให้รุดหน้า
ดังนั้นการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานีครั้งนี้คงเป็นบทเรียนอันสำคัญของกับพรรคเพื่อไทยว่าถ้าคิดจะส่งชิงนายกอบจ.จังหวัดอื่นอีกต้องเลือกผู้สมัครที่ไร้มลทิน เพราะนอกจากจะไม่ดูแคลนประชาชนแล้วยังช่วยกระตุ้นให้แกนนำพรรคหลายคนไม่จมปลักกับความรุ่งโรจน์ในอดีตได้อีกต่างหาก !!!