‘วิษณุ’ แถลงผลสอบศึกสายเลือดสีกากีให้คืนเก้าอี้ ‘ผบ.ต่อศักดิ์ รองฯโจ๊ก’ มีลุ้นผบ.ตร.คนต่อไป

5797

‘วิษณุ’ แถลงผลสอบศึกสายเลือดสีกากีให้คืนเก้าอี้ ‘ผบ.ต่อศักดิ์ รองฯโจ๊ก’ มีลุ้นผบ.ตร.คนต่อไป

วันนี้ (20 มิถุนายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล วิษณุ​ เครืองาม​ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี​ แถลงผลสอบคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จ และข้อกฏหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะ เกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงกรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์​ สุขวิมล​ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ​ และ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์​ หักพาล​

วิษณุ ระบุว่า​ มีการรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบเมื่อ 2-3 วันก่อน ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนชุดดังกล่าวถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำต่อไปในอนาคตอีกหลายเรื่อง โดยสรุปได้ความว่า วันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ครบ 4 เดือนพอดี ทั้งความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้ประชาชน เกิดความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ หรือไม่พอใจ ต่อสถานการณ์​ที่เกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี​ จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่ง เรียกว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเพื่อประมวลเรื่องราวว่ามีความเป็นมาอย่างไร เพื่อแก้ไขความเป็นไปในอนาคตได้

ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาหลายชุดเพื่อมาช่วยเนื่องจากได้มีการสอบพยานไปกว่า 50 คน​ ในจำนวนนั้นได้สอบสวนคู่กรณี ทั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์​ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งสรุปได้ความว่า ผลการตรวจสอบพบว่ามีความขัดแย้งและความไม่เรียบร้อยเกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริง มีความขัดแย้งในระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงระดับกลาง​ ระดับเล็ก​ หรือทุกระดับและทุกฝ่าย ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะเหตุเดียวกันหรือคนละเหตุแล้วบังเอิญมาประจวบกันด้วยกันก็ตาม จนกระทั่งเกิดเป็นคดีความแตกต่างฟ้องร้องกันอยู่ภายนอก ยังนร้องเรียนกันอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นอกจากนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เกี่ยวพันกับบุคคล 2 ท่านคือพล.ต.อ.ต่อศักดิ์และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งแต่ละท่านก็มีทีมงานของตัวอยู่ใต้บังคับบัญชา จึงพลอยเกิดความขัดแย้งไปด้วย โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้อง​สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบุคคล อาทิ​ คดี 140 ล้าน เป้รักผู้การเท่าไหร่ ,คดีที่ 2 คือคดีกำนันนก ,คดีที่ 3 คือคดีมินนี่เว็บพนันออนไลน์ ,คดีที่ 4 คือเรื่องพนันออนไลน์ BNK และยังมีคดีย่อยแยกออกไปอีกประมาณ 10 คดี ซึ่งแยกย้ายกระจายกันอยู่ตามสถานีตำรวจต่างๆและอยู่ในชั้นศาลแล้วก็มีโดยเฉพาะศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในภาค 7 และส่วนกลาง ความขัดแย้งบางเรื่องเป็นเรื่องพึ่งเกิดบางเรื่องเกิดขึ้นมากกว่า 10 ปีแล้ว จึงทำให้เกิดคดีเหล่านี้ขึ้นมา

ข้อที่ 3 คดีความที่เกี่ยวข้องกับ 2 นายพลจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบไป มีบางเรื่องส่งให้กับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม คือ ตำรวจ​ อัยการ​ ศาล​ ว่าไปตามปกติ

ข้อที่ 4 บางเรื่องเกี่ยวพันกับหน่วยงานนอกกระบวนการยุติธรรม คือองค์กรอิสระ​ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)รับไปดำเนินการซึ่งเวลานี้คดีทั้งหมดมีเจ้าของคดีรับดำเนินการอยู่แล้วทั้งสิ้น ไม่มีคดีตกค้างที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นก็นำมาสู่ผลสรุปรายงาน​

ในข้อที่ 5 กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้รับคำสั่งให้กลับไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 แต่เพียงผู้เดียวให้อยู่ในตำแหน่งและหน้าที่เดิม แต่ในวันเดียวกันนั้นเองก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นอีก 1 ชุดเพื่อสอบสวนทางวินัยและตามมาด้วยคำสั่งอีกฉบับ​ ให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์​ ออกจากราชการไว้ก่อน

วิษณุ​ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์สมควรที่จะส่งกลับไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งหน้าที่เดิม เพราะวันนี้ไม่มีอะไรจะสอบสวนแล้ว การที่นำตัวมาที่ทำเนียบ เพื่อที่จะได้มีการสอบสวน แต่เมื่อการสอบข้อเท็จจริง สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว หรือกระบวนการที่ยังอยู่ในการพิจารณาของป.ป.ช.​ ซึ่งไม่มีเหตุให้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล จึงให้กลับไปทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตามเดิม ส่วนคดีให้เป็นไปตามสายงานของคดี

ผลสรุปของกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ไม่ได้เป็นการชี้ว่าใครผิดใครถูก แต่ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบว่าพบเห็นความยุ่งยากสับสน ระหว่างอำนาจสอบสวนของหลายหน่วยงาน ซึ่งความจริงควรจะพบเห็นเรื่องนี้มานาน แต่มีคดีใหญ่หลายคดี ประเดประดังเข้ามา และหลายคดีไม่รู้อำนาจอยู่ในมือของตำรวจ​ หรือ ป.ป.ช. หรือ​ ปปง.​ หรือ​ กรมสอบสวนคดีพิเศษ​ (DSI) หรือ​ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน​ภาค​รัฐ​ (ปปท.​) ทำให้คดีทุจริตมีเจ้าภาพหลายรายเกินไป​

คณะกรรมการจึงเสนอแนะว่า ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบให้ชัดเจน โดยมอบให้คณะกรรมการประสานงานกระบวนการยุติธรรม​ ว่า หากเหตุเกิดขึ้นอีกอำนาจการสอบสวนอยู่ที่ใคร เมื่อไปถึงขั้นตอนของศาลอาจยกฟ้องได้ จึงต้องสอบสวนให้ชัดว่าใครมีอำนาจกันแน่ และเพื่อเป็นคู่มือให้พนักงานสอบสวนได้เก็บไว้ ซึ่งถือเป็นบทเรียน ว่าต่อไปจะเกิดขึ้นอีก และต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีรับทราบก็มีบัญชาการให้ตน ให้มาชี้แจงและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วิษณุ​ ระบุว่า สถานภาพของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์​ ที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอการนำความกราบบังคมทูลฯให้ออกจากราชการไว้ก่อน จำเป็นอย่างยิ่งที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะต้องมีการตรวจสอบว่าทำถูกต้องตามระเบียบขั้นตอนตามกฎหมายหรือไม่ ขณะเดียวกันพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้นำเรื่องไปฟ้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมของตำรวจ​ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าการได้กลับไปปฏิบัติราชการ​ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติของทั้งสองคน จะเป็นการให้คำมั่นกับประชาชนได้หรือไม่จะว่าจะไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก วิษณุ​ ระบุว่า กรณีพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ใช่การส่งกลับไป​ เพราะส่งไปตั้งแต่วันที่ 18 เมษายนแล้ว​ ส่วนกรณีของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ส่งกลับไปได้​ แต่จะกลับวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้วแต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรี

ส่วนที่มีความสับสนวุ่นวายขัดแย้งจนไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้น​ วิษณุ​ กล่าวว่า​ ตอนที่เอาตัวออกมาทั้งสองคนไม่ได้เอาออกมาเพื่อที่จะแก้ไข​ แต่เอาออกมาเพื่อจะตรวจสอบสอบวินัย​ สารพัดจะสอบ ซึ่งก็จะนำมาสู่การแก้ไขต่อไป ในอนาคต โดยนายกรัฐมนตรี​ขอให้ทั้งสองฝ่ายปรองดองกันในงานราชการ​ แต่ส่วนตัวใครทำอะไรผิดก็ดำเนินการไปตามกฎหมายเพราะมีอำนาจอยู่แล้วแต่การทำงานเพื่อบังเกิดประโยชน์กับประชาชน​ ไม่ให้ประชาชนมีรู้สึกเสื่อมศรัทธา​ ต่อเสียงและเสียงภาพลักษณ์ที่ดีจะต้องร่วมมือกันแก้ไขทั้งสำนักงาน รวมไปถึงตำรวจนอกจาก 2 ท่านนี้ด้วย

ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์คงจะเบาบางลง​ เพราะในระหว่างเวลาที่ผ่านไป 4 เดือน ทั้งสองฝ่ายก็ได้พบปะพูดจากอะไรกันบ้างพอสมควร​ และคณะกรรมการก็เข้าไปไกล่เกลี่ยบางเรื่องให้​ แต่ไม่ใช่ไปซูเอี๋ย หรือมวยล้มต้มคนดู​อะไรเพราะคดีทั้งหมดมีปักหลังอยู่ทั้งหมดทุกคน​ ก็ว่ากันไป​ แต่ระหว่างนี้ให้กลับไปทำงาน เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำงานแบบไม่มีหัวไม่ได้ ขณะนี้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ​ พันธุ์​เพ็ชร​ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่เกินกำลัง

ส่วนที่ผ่านมาพล.ต.อ.วินัย ทองสอง มีการแถลงข่าวว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์​ มีความผิดจริง​ วิษณุ ยอมรับว่ามีการพูดทั้งหมด สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะตัดสินใจชะตากรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป

ส่วนการส่งตัวพล.ต.อ.ต่อศักดิ์​ กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเป็นการล้างมลทินหรือไม่​ วิษณุ​ ยืนยันว่าไม่ล้มล้าง ความผิดยังคงเดินหน้าต่อซึ่งคดีอยู่ที่ป.ป.ช.​ ผลสอบครั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีผลผูกพันไปยังหน่วยงานอื่น​ แต่เป็นการแจ้งให้ทราบให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ

ส่วนเสียงครหาว่าเป็นการฟอกขาวหรือไม่ วิษณุระบุว่า ไม่มีอะไรเป็นการฟอกขาว​ แต่ขอให้ท่านกลับไปทำหน้าที่ของท่านในส่วนนี้อย่าวอกแวก​ ส่วนคดีใน​ป.ป.ช.ก็ขอให้ไปสู้กันเอง​

วิษณุ​ เน้นย้ำว่า​ ตำรวจจำเป็นต้องทำความเข้าใจกฎหมายของตำรวจเองให้ดีเสียก่อน​ ก่อนที่จะออกคำสั่งอะไร

ส่วนเหตุผลที่ให้วิษณุเป็นผู้แถลงนั้น นายกรัฐมนตรี​ระบุว่าเรื่องนี้หากให้โฆษกรัฐบาลแถลงจะเกิดความสลับซับซ้อนและที่สำคัญ​ตนเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดที่ 2 ที่วินิจฉัยว่าการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนไม่ได้ถูกต้อง​ เนื่องจากไม่ได้ทำตามกระบวนการ และยกจึงให้ตนมาชี้แจง

ส่วนการส่งกลับเช่นนี้จะทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียบร้อยหรือไม่ วิษณุระบุว่า คงไม่สงบเรียบร้อย 100% เรียบแต่ไม่ร้อย แต่คงจะสงบจบลงได้ และมีความปรองดองในส่วนงานราชการ

ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์​ หากพิจารณาเสร็จแล้ว จะสามารถมาลุ้นตำแหน่งผบ. ตร.ได้เหมือนเดิมหรือไม่​ วิษณุระบุว่า​ มี

#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์