เลขาฯ ป.ป.ส. แถลงผลยึดทรัพย์นักค้ายาเสพติดรายสำคัญ กว่า 2,000 ล้าน

326

เลขาฯ ป.ป.ส. แถลงผลยึดทรัพย์นักค้ายาเสพติดรายสำคัญ กว่า 2,000 ล้าน ตัดวงจรยาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาล

วันที่ 20 มิถุนายน 2567 พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส.

และนายไพศาล กันทะเตียน ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบทรัพย์สินคดี ยาเสพติด ร่วมแถลงผลการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ 12/2567 ยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญกว่า 2,000 ล้านบาท ณ ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ป.ป.ส. อาคาร 2 ชั้น 4

พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำหรับในวันนี้จะเป็นการแถลงผลการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินครั้งที่ 12/2567 ซึ่งมีท่านปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นฝ่ายเลขานุการ ในวาระที่ 4 ที่ประชุมมีการพิจารณาคดีตรวจสอบทรัพย์สินจำนวน 81 คดี มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 2,185,071,784.93 บาท โดย 78 คดีเป็นการตรวจสอบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งในขั้นตอนต่อไปจะส่งสำนวนคดีไปยังพนักงานอัยการ เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลพิจารณาต่อไป

ในครั้งนี้ มี 3 คดี ซึ่งเป็นเครือข่ายรายสำคัญสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จับกุมนายธีนพันธ์ฯ พร้อมพวก 2 คน ของกลางยาเสพติด (เฮโรอีน) จำนวน 1, 000 แท่ง น้ำหนักประมาณ 35 กิโลกรัม ณ บริเวณด่านควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บ้านนาหวายใหม่ อำเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน และนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบ้านหลวง จังหวัดน่านดำเนินคดี และจากการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานพบกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวมีผู้ร่วมกระทำความผิดแบ่งหน้าที่กันทำ ดังนี้ 1.กลุ่มเจ้าของยาเสพติด 2. กลุ่มผู้ประสานงานระหว่างเจ้าของยาเสพติดและกลุ่มเครือข่าย 3.กลุ่มลำเลียงยาเสพติด 4.กลุ่มนายทุนและกลุ่มฟอก 5. กลุ่มกรรมการบริษัท/ผู้ถือหุ้น นำไปสู่การตรวจยึดอายัดทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว

จากการรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด พบความผิดปกติของกลุ่มนายทุนและกลุ่มฟอกเงินที่มียอดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2564 พบมีมากกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้จากการประกอบอาชีพ หรือการประกอบธุรกิจในนามบริษัทของกลุ่มผู้ต้องหา ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล เพื่ออำพรางว่ามีการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นการฟอกเงินที่ได้จากยาเสพติด อีกทั้งยังมีการนำเอาบัญชีของแรงงานชาวเมียนมา ลูกจ้างชาวเมียนมาของบริษัท มาใช้ทำธุรกรรมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานดังกล่าวแล้ว จึงเชื่อได้ว่า ทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่ายเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะ หรือความสามารถในการประกอบอาชีพอื่นใดโดยสุจริตและเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน มีคำวินิจฉัย และมีมติให้ยึดอายัดทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่ายนี้ จำนวน 3 คดี ดังนี้
คดีที่ 1.นางสาวเขมิกาฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ราย ทรัพย์สิน จำนวน 45 รายการ มูลค่าประมาณ 9,378,823.95 บาท
คดีที่ 2. นางตง เฉินฯ (หลบหนี) และผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 1 ราย ทรัพย์สิน 24 รายการ มูลค่าประมาณ 527,815,332.18 บาท
คดีที่ 3. นางสาวณัฐพัชร์ฯ หรือนางผิงฯ เฉิน (หลบหนี) และผู้เกี่ยวข้องจำนวน 3 ราย ทรัพย์สิน จำนวน 809 รายการ มูลค่าประมาณ 1,485,438,514.51 บาท

รวมทรัพย์สิน 878 รายการ แบ่งเป็น เงินสด จำนวน 29,744,233.07 บาท เงินฝาก จำนวน 1,193,445,452.02 บาท อสังหาริมทรัพย์ จำนวน 191,378,073 บาท และอื่นๆ อาทิ ทองรูปพรรณ เครื่องประดับ ยานพาหนะ จำนวน 608,064,912.55 บาท รวมมูลค่าทั้งหมด 2,022,632,670.64 บาท
พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวในตอนท้าย การดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินในกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว เป็นการดำเนินการตาม พรบ.มาตราการฯ พ.ศ. 2534 และตามประมวลกฎหมาย ยาเสพติด กรณีถ้ามีผู้แจ้งเบาะแส จะได้รับเงินสินบน 5% ขณะที่คนที่ทำคดีตั้งแต่ต้นผู้จับกุมจนถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง จะได้ส่วนแบ่งเงินรางวัล 25% ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่จะดำเนินคดีได้เร็วขึ้น จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฝ้าป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด ด้วยการชี้เบาะแสเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่าย หรือนักค้ายาเสพติดมายัง สำนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งหลังจากคดีสิ้นสุดทรัพย์สินตกเป็นของกองทุนฯ แล้ว ท่านจะได้รับเงินสินบนร้อยละ 5

#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์#ป.ป.ส.#ข่าวอาชญากรรมวันนี้