‘พระอุบาสิกาผู้เข้มขลังพลังแห่งจิต’

772

อุบาสิกาผู้เข้าถึงธรรมมะอย่างถ่องแท้และได้ฤทธิ์แห่งจิตถึงขั้นอภิญา อ่านสนุกแบบมีทั้งศรัทธาและพาณิชย์ไปกับ คอลัมน์พระบ้าน by ต้นคนชอบพระ

ในปี ค.ศ.2010 มีหนังสารคดีเรื่องนึง ที่ชื่อว่า I Am ผลงานการกำกับ ของ Tom Shadyac โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก An Inconvenient Truth ซึ่งสร้างจากบทประพันธ์ของ Al Gore ในฉากหนึ่งของสารคดี I Am มีการทดลองทางห้องปฏิบัติการไฟฟ้าคลื่นหัวใจ มีการนำเสนอผลลัพธ์จากงานวิจัยว่า “หัวใจ” เป็นตัวส่งคลื่นความถี่ของร่างกายในหลายสภาวะ โดยเฉพาะเรื่องของ “อารมณ์” ใน I Am ชี้ว่า “อารมณ์” หรือ “ความรู้สึกนึกคิด” มิได้เกิดจาก “สมอง แต่เกิดจาก “จิตใจ” และ คลื่นหัวใจของเรานั้นสามารถแผ่ขยาย ออกไปกระทบจิตใจของผู้อื่นได้

โดยนักวิทยาศาสตร์จะตั้งคำถามกับอาสาสมัครพร้อมโยงสายไฟขั้วบวกและขั้วลบ หากเกิดรู้สึกเครียดเครื่องวัดสัญญาณไฟฟ้าจะขึ้นไปที่ขีดสูง แต่ถ้ารู้สึกผ่อนคลาย คลื่นไฟฟ้าก็จะลดลงมาถึงขีดต่ำ เป็นการบ่งชี้ว่า เมื่อเกิด อาการเครียด คลื่นหัวใจจะส่งสัญญาณรุนแรง แต่ถ้าสบายใจ หัวใจก็จะผ่อนคลาย และในสารคดีเรื่องนี้ก็บอกผลสรุปของการทดลองดังกล่าวว่า สิ่งที่ทำการทดลองดังกล่าวคือ การมีอยู่ของ “พลังจิต” I Am บอกกับเราว่า “พลังจิต” นั้นมีจริง ด้วยผลการพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งตรงกับแนวคิดความเชื่อทางตะวันออกอย่าง การวิปัสนาภาวนา กำหนดจิต การหยุดดูลมหายใจเข้าออก ในวิถีพุทธ เรื่อง “ปราณ” “พลังชี่” อันเป็นศาสตร์สายจีน หรือศาสตร์ทางอินเดียอย่าง “ฌาน” และ “จักระ” ทั้งหมดคือแนวทางการฝึกจิตให้มีพลัง ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆก็สามารถฝึกได้แต่จะสำเร็จไปจนถึงขั้นไหนก็แล้วแต่บุคคล ยกตัวอย่างก็อย่าง อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ เสด็จเตี่ยฯ และอีกหลายท่านที่เป็นคนธรรมดาแต่ก็สามารถฝึกจนมีพลังทางจิตที่เข้มขลังไม่ด้อยไปกว่าเหล่าเถราจารย์หลายท่าน ส่วนใหญ่ผู้ที่ฝึกจิตจนมีวิชามักจะพบแต่ในเหล่าบุรษเพศจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหรือจะเป็นเอกสิทธ์เฉพาะท่านชายหรือเปล่าแต่เอาเข้าจริงก็พบว่าไม่ใช่เพราะในกาลสมัยอันใกล้ที่ผ่านมาก็ได้กำเนิดอุบาสิกาผู้ทรงพลังทางจิตมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่เคารพนับถือกันทั่วไป อุบาสิกาท่านนั้นก็คือ คุณแม่บุญเรือน แห่งวัดอาวุธ

( รูปศาลาคุณแม่บุญเรือน )

“คุณแม่บุญเรือน” เป็นชาวคลองสามวา เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร บุตรของ “นายยิ้ม และ นางสวน กลิ่นผกา” เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๗ ต่อมาครอบครัวได้ ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่บางปะกอก ฝั่งธนบุรี ในวัยเด็กท่านได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการบ้านการเรือนเป็นอย่างดี จนเมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ท่านได้เรียนการนวดแผนไทยจากอาจารย์กลิ่นซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของท่านและรับนวดจนมีชื่อเสียง การนวดในแต่ละครั้งท่านไม่จะคิดค่านวด แต่จะให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่ปู่กลิ่นแทน ความที่คุณลุงของท่านคุณแม่บุญเรือนคือ “หลวงลุงพริ้ง วัดบางปะกอก” จึงทำให้ท่านได้มีความรู้พื้นฐานด้านธรรมะและก่อให้เกิดความเลื่อมใสในทางธรรมเรื่อยมา ต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับสิบตำรวจโทจ้อย โตงบุญเติม แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือน ก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมอยู่สม่ำเสมอ โดยมีท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) เป็นพระอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้

กระทั่งปี พ.ศ.๒๔๗๐ คุณแม่บุญเรือนได้ขออนุญาตสามี เพื่อมาบวชชีที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ช่วงหนึ่งแล้วสึกไป แต่ระหว่างนั้นก็ยังปฏิบัติธรรมเรื่อยมาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน และช่วงนี้เองที่คุณแม่บุญเรือนเองก็ได้มีโอกาสเข้าถึงธรรมอย่างถ่องแท้และได้ฤทธิ์ทางจิตจนถึงขั้นอภิญญา โดยคุณแม่บุญเรือนเคยเล่าถึง เหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมให้หลวงตาสุวรรณฟังว่า “ตั้งใจจะปฏิบัติธรรมให้สำเร็จ ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา ๙๐ วัน โดยถือศีล ๘ บวชเป็นซี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สำเร็จจึงคิดท้อใจกลับบ้าน จนตอนที่จะเข้านอนได้แลเห็นโยมมารดา และหลานๆ มีอาการกรน ละเมอบ่นเพ้อพึมพำ และกัดฟันกรอด ๆ ทำให้รู้สึกเกิดความสังเวชต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมา คิดอยากที่จะหลีกหนีเสียชั่วคราว ก็ได้ไปนั่งทำสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี ๒ ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม เสียดายแต่ธรรมยังไม่ได้บรรลุเลย แต่พอคิดได้ดังนี้ อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างอย่างสุดที่จะประมาณได้ นึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมด และยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย

ขณะนั้นคิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม พอสิ้นคำอธิษฐานแล้วหลับตาลง ก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้าคล้ายกับตีลังกา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ที” จากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการขอพิสูจน์ในพลังแห่งฤทธิ์ทางจิตของคุณแม่บุญเรือนอีกครั้ง ด้วยการให้คุณแม่บุญเรือนไปนั่งในห้องพระที่บ้านแล้วให้กลับมาที่ศาลาที่วัดสัมพันธ์วงค์อีกครั้งในวันรุ่งขึ้นซึ่งครั้งนี้จะมีคนคอยเฝ้าดูอยู่ตลอด ซึ่งคุณแม่บุญเรือนก็สร้างความอัศจรรย์ใจได้อีกครั้ง แต่หลังจากนั้นท่านก็แทบไม่แสดงฤทธิ์ให้ใครได้เห็นอีกเลย คุณแม่บุญเรือน ละขันธ์เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๗ เวลา ๑๑.๒๐ น. สิริอายุได้ ๗๐ ปี ซึ่งคุณแม่บุญเรือน ท่านได้รู้สถานที่ วัน และเวลาละขันธ์ล่วงหน้า โดยท่านให้ตั้งนาฬิกาที่เวลา ๑๑.๒๐ น. ไว้ล่วงหน้าถึง ๒ เรือน ซึ่งตรงกับเวลาที่ท่านละขันธ์ไปจริง ๆ อันเป็นปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายของท่าน



(รูปพระพุทโธน้อย ปี 2494 )

ในช่วงที่คุณแม่บุญเรือนยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้หลายอย่างแต่ที่เด่นๆเป็นที่รู้จักกันคือ พระพุทโธน้อย อันศักดิ์สิทธ์ ที่จัดสร้างในปีพุทธศักราช 2494 “พระพุทโธน้อย” เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ธนบุรี เป็นพระพิมพ์ แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตร เป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลัง มีอักขระขอม จารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ” พุทธคุณเป็นเลิศทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด เจริญด้วย โภคทรัพย์ และกำจัดโรคร้าย ในการจัดสร้างครั้งนั้นแม้มีจำนวนมากถึงหนึ่งแสนองค์แต่กลับถูกเข่าบูชาจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว มาถึงปัจจุบันทั้งหายากและราคาก็ไปไกลมาก จนหลายคนนึกท้อ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังครับกระผมได้ไปสืบค้นจนได้ข้อมูลมาว่ามีพระพุทโธน้อยรุ่นที่เป็นของดีมีราคาสมเหตุผลอยู่ แม้การจัดสร้างจะจัดทำหลังจากคุณแม่บุญเรือนท่านละสังขารไปแล้วแต่พุทธคุณไม่ได้ยิ่งหย่อนกัน องค์นั้นก็คือพระพุทโธน้อย ปีพุทธศักราช 2511

คุณแม่บุญเรือนเคยบอกหลวงตาสุวรรณฯ เอาไว้ว่า ฉันอธิษฐานพระเพียงหนเดียวเท่านั้น พระฉันถึงแตกหักอย่างไร เมื่อนำมาบดแล้วสร้างใหม่ ก็ยังคงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิมดั่งเช่นที่ฉันอธิษฐานไว้

( รูปพระพุทโธน้อย ปี 2511 )

พระพุทโธน้อย ปี 2511 วัดอาวุธฯ เนื้อผง สร้างในยุคพระสิทธิสารโสภณ พระเทพเมธากร เจ้าอาวาสวัดอาวุธในสมัยนั้น หลวงพ่อสุวรรณ ท่านได้ถวายปัจจัยทำบุญ 20,000 บาทแล้วนำพระพุทโธ น้อยปี2494 ที่แตกหักซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่กุฏิมาทั้งหมด โดยนอกจากได้พระพุทโธ ปี2494ที่แตกหักยังได้ผงมวลสารเก่าๆสมัยคุณแม่บุญเรือนยังมีชีวิตอีกประมาณ 2 ถังใหญ่ และนอกจากมวลสารพระพุทโธน้อยยุคแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติมที่จัดสร้างเมื่อปี 2494 แล้วยังได้ พระมงคลมหาลาภ ปี 2499 มาเป็นส่วนผสมเพิ่มอีกจำนวนมากและใช้พิมพ์เก่ามาเป็นต้นแบบ ส่วนวัตถุประสงค์การจัดสร้างพระพุทโธน้อย ปี 2511 ของวัดอาวุธวิกสิตารามนั้น น่าจะจัดสร้างขึ้นเพื่อฉลอง สมณศักดิ์ หลวงพ่อสงวน เจ้าอาวาสวัดอาวุธ ณ ขณะนั้น พระพุทโธน้อยไม่ว่าจะเป็นรุ่นแรกหรือรุ่นปี 2511 พุทธคุณนั้นรับรองว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เด่นด้านโชคลาภ สำเร็จทุกประการตามที่หวัง เมตตา มหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย เรียกว่าองค์เดียวจบองค์เดียวอยู่ ดูอนาคตไปได้อีกไกล สนนราคาเช่าหาก็หลักร้อยถึงพันกลางๆแล้วแต่สภาพครับ

คราวหน้ามาลุ้นกัน ว่าจะนำเสนอองค์ไหนหรือตำนานอะไรครับ

เขียนโดย ต้น คนชอบพระ

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก สื่อโซเซี่ยล ครับ

ปล. หากมีวัด ศาสนถาน โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯใดที่ต้องการประชาสัมพันธ์การขายวัตถุมงคลหรือบริจาคเพื่อการกุศลอย่างแท้จริง ทางคอลัม์พระบ้าน ยินดีประชาสัมพันธ์ให้ฟรีครับ

สนใจลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ ติดต่อ 0818214442 ต้น