ติดตามอ่านข่าวเจ้าหน้าที่ไทยร่วมกับเจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย จับกุม นายเชาวลิต ทองด้วง หรือแป้ง นาโหนด นักโทษคดีอุกฉกรรจ์หนีคุก ได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้นึกถึงวาทะเด็ดของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ที่สะท้อนให้เห็นตัวตนของตำรวจสมัยนั้นว่า
”ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ในทางที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามและกฎหมายบ้านเมือง”
แต่ปัจจุบันมักจะเหลือเพียงคำว่า”ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจทำไม่ได้” ที่ยกวาทะนี้มาเพื่อจะสื่อว่าไม่ได้ใช้เฉพาะตำรวจเพียงหน่วยเดียว เพราะหน่วยงานรัฐอื่นรวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายน่าจะเข้ากับวาทะนี้ได้เหมือนกันเพียงแต่เปลี่ยนเป็น”ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีสิ่งใดที่ข้าราชการไทยและรัฐบาลไทยทำไม่ได้”ซึ่งการติดตามจับกุมแป้ง นาโหนดพอที่จะอธิบายเกี่ยวกับวาทะนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะจากคำบอกเล่าของผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และตำรวจ ระบุนับแต่แป้ง นาโหนดแหกคุก กระทั่งเผ่นไปกบดานในต่างประเทศถึง 4 ประเทศ ก่อนจะมาจนมุมที่อินโดนีเซีย แม้แต่แป้ง นาโหนด ก็ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ไทย และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เก่งจริงสามารถแกะรอยจับกุมเขาได้ทั้งที่หลบหนีไปมาถึง 4ประเทศ
ผลงานชิ้นนี้พอสะท้อนว่าถ้ารัฐบาลและข้าราชการไทย จริงจังในการปฏิบัติหน้าที่ อุปสรรคจะยากแค่ไหนสามารถลุยจนถึงเป้าหมายได้ เมื่อมาเปรียบเทียบในยุครัฐบาลเผด็จการทหารภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอดีตนายกรัฐมนตรีถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 คน คือนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีอยู่ต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่สามารถที่ติดตามจับกุมมาดำเนินการคดี จนถูกครหาว่าไม่จับกุมเพราะต้องการไว้ดิสเครดิตเมื่อคณะของเผด็จการทหารบริหารบ้านเมืองผิดพลาด หรือพลาดพลั้ง เพราะประชาชนมักจะได้ยิน พล.อ.ประยุทธ์ พูดบ่อยๆว่ารัฐบาลต้องใช้หนี้คดีทุจริตจำนำข้าวกว่า 5 แสนล้านบาท แต่ผู้รับผิดชอบกลับหนีลอยนวลอยู่ต่างประเทศ
ส่งผลให้บรรดาขาเชียร์เผด็จการทหาร ไม่ว่าจะเป็นพวกสื่อเลือกข้างที่ได้ทุนอุดหนุน หรือบรรดาสลิ่มต่างส่งเสียงเชียร์กระหึ่มพร้อมวิจารณ์ว่านายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นพวกหนีคดี ขณะที่แฟนคลับรวมถึงสื่อในสังกัดของนายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่างเป็นเดือดเป็นแค้น สวนกลับว่าคณะเผด็จการทหารทำให้กระบวนยุติธรรมบิดเบี้ยว สองมาตรฐาน
สำหรับประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราได้แต่เฝ้ามองถึงบทวิวาทะทั้งสองฝ่าย ที่พ่นน้ำลายใส่กัน โดยบ้านเมืองไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าที่ติดตามจับกุมนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เพราะรัฐบาลเผด็จการทหารไม่มีศักยภาพพอ หรือไม่ยากติดตามจับกุม
เมื่อประมวลเหตุการณ์ต่างๆแล้วน่าจะเป็นประเด็นไม่ยากติดตามจับกุมมากกว่า เพราะอดีตนายกฯทั้งสองคนคือเหยื่ออันโอชะมีไว้ดิสเครดิตเมื่อบริหารผิดพลาด ที่กล้าฟันธงว่าไม่ยากติดตามจับกุม เพราะถ้าจะติดตามจับกุมจริงๆสามารถที่จะดำเนินการได้เลย เพราะข้าราชการไทยที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ต่างมีศักยภาพในการทำงานแบบไร้ที่ติ ยิ่งพล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จข้าราชการเหล่านี้พร้อมที่จะสนองตอบอยู่แล้ว
ดังนั้นกรณีจับกุมแป้ง นาโหนด พอที่จะเป็นหลักฐานยืนยันว่าหากข้าราชการไทยและรัฐบาลไทย อยากจะไล่ล่าจับกุมผู้ใดย่อมที่จะดำเนินการบรรลุเป้าหมายได้ เพียงแต่เป้าหมายที่ไล่ล่านั้นมีกำลังภายในล้นเหลือหรือเป็นเพียงมาเฟียกระจอกหรือแค่อาชญากรธรรมดา เมื่อจับกุมได้แล้วจะส่งผลเสียต่อกลุ่มอำนาจใดหรือไม่ ซึ่งกรณีแป้ง นาโหนด พอจับกุมตัวได้ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอำนาจใดๆที่ยึดครองประเทศอยู่ เพราะเป็นแค่อาชญากรกระจอกที่มีหน้าที่หาเงินให้กับข้าราชการนอกแถวบางกลุ่มเท่านั้น
ที่ยกกรณีจับกุมแป้ง นาโหนด มาเปรียบเทียบกับการไม่ติดตามจับกุมนายทักษิณ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างจริงจัง เพื่อสื่อถึงประชาชนคนธรรมดาทั่วไปว่าอย่าไปคาดหวังจากผู้มีอำนาจทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยนกันมายึดกุมอำนาจรัฐ เพื่อบริหารประเทศ จะมีความจริงใจที่จะทำให้บ้านเมืองมีขื่อแปที่แข็งแรง เพราะแต่ละกลุ่มล้วนแต่มาพิทักษ์ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น กรณีจับแป้งกับกรณีไม่จับแม้ว น่าจะอธิบายความได้ดีที่สุด ที่สำคัญวาทะเด็ดของ พล.ต.อ.เผ่า แม้จะกล่าวมานานหลายสิบปียังบ่งบอกได้ว่าข้าราชการไทยและรัฐบาลไทย ยังย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิม !!!