ในที่สุดนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งอันจะทำให้กระทบต่อการทำหน้าที่ของรัฐบาล หลังจากถูกสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและนายพิชิต ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170(4)และ(5) ในประเด็นขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคำร้องในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้

การยื่นใบลาออกของนายพิชิต จะเป็นตามเหตุผลที่แจ้งหรือถูกกดดันให้ออกหรือไม่นั้นสุดจะคาดเดาปล่อยให้คอการเมืองคาดการณ์กันเอาเอง แต่ที่”จอมมารน้อย”อยากเขียนถึงคือ บริบทการใช้อำนาจของบุคคลหรือกลุ่มคน มีชื่อเสียง มีอำนาจ มีสถานะทางสังคม ซึ่งคนบางกลุ่ม บางฝ่าย ให้ความเชื่อถือ แม้ว่าจะใช้อำนาจที่ฝืนกฎหมายหรือฝืนจริยธรรมก็ตาม
อย่างกรณี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ตบหน้าโจ๋วัย 14 ปีแล้วสั่งให้แก้ผ้าเดินออกจากโรงพยาบาล เพื่อสั่งสอนที่สูบบุหรี่ในห้องน้ำ มีการกล่าวหาว่าทำเกินกว่าเหตุ ต่อมา พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุว่าการตบหน้าด.ช.วัย 14 ปี เป็นการกระทำที่สมควรเนื่องจากการสูบบหรี่ กลิ่นควันบุหรี่เข้าสู่ระบบปรับอากาศ พร้อมกับบอกว่าเมื่อผมทำผิดกฎหมาย ต้องรับผิดตามกฎหมาย ไม่หนีความผิด หลังเกิดเหตุแม่ของโจ๋วัย 14 ปีพร้อมทนายความเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพล.ต.นพ.เหรียญทอง หลายข้อหา ส่วนผลคดีจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตาม
แต่การกระทำของพล.ต.นพ.เหรียญทอง สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างขว้างขวาง คอลัมนิสต์ของสื่อหลายสำนัก นักการเมือง อดีตนักการเมือง อดีตบิ๊กข้าราชการ รวมถึงชาวบ้านบางกลุ่ม ต่างส่งเสียงเชียร์พร้อมชื่นชมในการกระทำ ขณะเดียวกันมีเสียงตำหนิทั้งจากนักการเมือง สื่อหลายสำนัก รวมถึงประชาชนทั่วไป ว่าเหมาะสม เสมือนศาลเตี้ย ด้วยวุฒิภาวะควรจับแล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการตามกฎหมาย
หากมองอย่างวิเคราะห์พออนุมานได้ว่าภาวะทางอารมณ์ของคนในสังคมไทยส่อไปในทางที่นิยมความรุนแรงมากกว่าที่จะประนีประนอม เน้นอำนาจนิยม มากกว่ายึดหลักกฎหมาย ซึ่งไม่แตกต่างกับการแต่งตั้งนายพิชิต อดีตทนายความตระกูลชินวัตร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่คุณสมบัติเป็นที่เคลือบแคลง เนื่องจากถุงขนมมหาภัย เมื่อครั้งทำหน้าที่ทนายความให้นายทักษิณ ชินวัตร ผลพวงจากถุงขนมภายในบรรจุเงินสดเพื่อจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ศาล ทำให้นายพิชิต ติดคุกฐานละเมิดอำนาจศาลและมีการเสนอเรื่องให้สภาทนายความแห่งประเทศไทย ลบชื่อจากการเป็นทนายความ แม้คุณสมบัติจะเป็นที่แคลบแคลง แต่นายพิชิต สามารถผงาดนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีได้แบบฉลุย ซึ่งเหล่าพรรคร่วมรัฐบาลรวมถึงพรรคเพื่อไทย ต่างทราบกันดีว่าเป็นการตอบแทนที่นายพิชิต ทำงานรับใช้ตระกูลชินวัตรแบบจัดเต็ม กล้าเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง
ยิ่งในแวดงวงการเมือง ข้าราชการและเอกชน ต่างทราบกันดีว่าตระกูลชินวัตร จะตอบแทนกับทุกคน ทุกกลุ่ม ที่มีบุญคุณและเอื้อเฟื้อในด้านต่างๆเสมอมา ซึ่งกรณีนายพิชิต ส่อเค้าจะได้นั่งเสนาบดีตั้งแต่ตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดแรกแล้ว เพราะช่วงฟอร์มรัฐบาล นายพิชิตขึ้นไปเยี่ยมนายทักษิณ นอนป่วยอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ พอกลับลงมามีชื่อติดโผครม.ทันที แต่ต้องหลุดโผเพราะคุณสมบัติยังถูกเคลือบแคลง
พอปรับครม.บวกกับนายทักษิณ มีบารมีล้นเหลือเหล่าเสนาบดีทุกพรรคต้องซูฮกและคอยเงี่ยหูฟังว่าจะให้เดินเกมหรือผลักดันนโยบายอะไร นายพิชิต จึงได้นั่งตำแหน่งเสนาบดี แต่สุดท้ายนายพิชิตต้องพ่ายเกมของ 40 สว.ที่ยื่นให้ตีความถึงคุณสมบัติด้านความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์และมาตรฐานทางจริยธรรม ด้วยการยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง
จากสองกรณีที่ยกมาเขียนถึง”จอมมารน้อย”ไม่ได้มีอคติใดๆกับตัวละครทั้งสองเหตุการณ์เพียงแต่ต้องการสื่อว่าถ้าบรรดาผู้มีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจในสังคมไทย ยังใช้หรือบริหารอำนาจที่มีอยู่ในมืออย่างย่ามใจ ละเลยทั้งระบบกฎหมายและระบบคุณธรรม ระวังจะแพ้ภัยตัวเอง หรือบางคนถึงขั้นไม่มีแผ่นดินอยู่หรืออาจจะถึงขั้นพ่ายเกมชิงอำนาจให้กับคนรุ่นใหม่แบบหมดรูปก็เป็นได้ !!!
