10 เดือนนโยบายปราบยายังเหลว แฉชาวบ้านบ่นพวกขี้ยาเพ่นพ่าน หวังบรรลุเป้านายกฯต้องคุมเอง

1050


            นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะ ถกแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยกำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการป้องกันและปราบยาเสพติด

            ในที่ประชุมนายเศรษฐา บอกว่า ได้ยินทุกครั้งในการลงพื้นที่ชาวบ้านในหลายชุมชนรู้สึกไม่ปลอดภัย เหตุหนึ่งมาจากยังเห็นคนที่ติดยาหรือกำลังบำบัดอยู่ในชุมชน คนติดยาเหล่านี้หยุดยาเองทำให้การบำบัดไม่สำเร็จและทำให้พวกเขากลับมาอยู่ในวงจรยาเพสติดอีกครั้ง ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันทำงานหนักขึ้นให้สมกับที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ยาเสพติดหมดไป

           เป็นการสะท้อนที่ชัดเจนตลอดเวลากว่า 10 เดือน นโยบายนี้ค่อนข้างล้มเหลว เท่าที่จำได้ทันทีที่นายเศรษฐา นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 10 วัน ไปเป็นประธานเผาทำลายยาเสพติดของกลาง ที่ จ.สมุทรปราการ ได้ประกาศว่าเป็นวาระชาติ ถัดมาไม่นานมีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ หนองบัวลำภู แล้วดันให้หนองบัวลำภู เป็นต้นแบบในการแก้ปัญหายาเพสติด ภายใต้ชื่อ”หนองบัวลำภูโมเดล” มีการตีปิ๊บอย่างครึกโครม เวลาทอดยาวออกมาไม่แน่ใจว่าบรรลุเป้าหมายแค่ไหน แต่คิดว่าคงลุ่มๆดอนๆถึงขั้นล้มเหลวก็เป็นได้ เพราะในวงประชุมวันที่ 8 พฤษภาคม แทนที่จะยกตัวอย่างหนองบัวลำภูโมเดล กลับจะใช้ค่ายทหารแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นต้นแบบในการทดลองบำบัด

       หากมองว่านโยบายปราบปรามยาเสพติดทำแบบจับจด คงไม่ผิดนัก เพราะกว่า 10 เดือนชาวบ้านยังรู้สึกเหมือนเดิมคือขี้ยาเพ่นพ่านในชุมชน ยาเสพติดราคาถูก ขี้ยาเกิดอาการหลอนทำร้ายบุพการี ปรากฏตามสื่อต่างๆแทบทุกวัน จึงไม่แน่ใจว่านายกรัฐมนตรีมองปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในขั้นวิกฤตหรือปกติทั่วไป ถ้ามองว่าปกติทั่วไปให้เดินแนวทางที่ทำอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้ามองว่าถึงขั้นวิกฤตนายกรัฐมนตรีต้องนั่งหัวโต๊ะคุมเอง ระดมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทำงานกันอย่างจริงจัง ปราบปรามอย่างเด็ดขาด หากมีนักการเมือง ข้าราชการไปเกี่ยวข้องต้องจัดการแบบฉับไวและเด็ดขาด

    สำหรับแนวทางการป้องกันและปราบปราม ”จอมมารน้อย”เคยนำเสนอมาแล้วขอฉายซ้ำอีกรอบ โดยถ่ายทอดจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีประสบการณ์ตรงสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร บอกว่า” หากรัฐบาลจะแก้ไขปัญหายาเสพติดให้บรรลุเป้า ต้องมีความมุ่งมั่นจริงๆ เดินหน้าตามนโยบายที่ว่าจะให้เจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เอกซเรย์พื้นที่นำขี้ยาในชุมชนเข้าบำบัด


      พวกสมัครใจให้ใช้ศูนย์บำบัดของรัฐที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่พวกไม่สมัครใจต้องใช้กลไกกฎหมายบังคับแล้วขอให้กระทรวงกลาโหมสั่งการให้ค่ายทหารทุกค่ายรับขี้ยาเหล่านี้เข้าบำบัดอย่างเข้มงวด”  เจ้าหน้าที่ระบุอีกว่าไม่ควรใช้ค่ายอาสาสมัคร(อส.)ของจังหวัดเด็ดขาด เพราะค่าย อส.จะอยู่แบบหลวมๆ มีครอบครัวของ อส.อาศัยอยู่ด้วย บางค่ายกลุ่มคนเหล่านี้จะแฝงตัวขายยาเสพติดให้กับผู้เข้าบำบัด เพราะระหว่างบำบัดช่วงเช้าเย็นจะปล่อยให้ไปนั่งกินอาหาร ที่ครอบครัว อส.เปิดขายได้ด้วย จึงเป็นช่องโหว่ซื้อขายยาบ้าได้

 เจ้าหน้าที่ฯยังบอกอีกว่าระหว่างที่นำขี้ยาเข้าบำบัด นายกรัฐมนตรีต้องลงไปกำชับมอบนโยบายให้ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และทหารลุยปราบปรามอย่างเฉียบขาดเหมือนยุครัฐบาลทักษิณ พ่อค้าคนไหนไม่ไหวเครือข่ายเยอะส่งไปให้เกิดใหม่ เพราะหากจับกุมจะไปไร้ประโยชน์เพราะกระบวนการยุติธรรมไทยอ่อนแอ


 “เมื่อปราบปรามแก๊งค้ายาราบคาบทุกหย่อมหญ้าแล้ว สภาพแวดล้อมเดิมๆจะหายไป ขี้ยาที่ผ่านการบำบัดเมื่อกลับสู่ชุมชนจะพบว่าสภาพที่แวดล้อมที่เคยมีแต่บรรดาพ่อค้ายาบ้าหายไป ยาเสพติดหาซื้อยากและราคาแพงลิ่ว โอกาสขี้ยาจะกลับมาเสพอีกแทบจะไม่มี”เจ้าหน้าที่ฯระบุและว่าขี้ยาส่วนใหญ่จะขี้เกียจไร้อาชีพ รัฐบาลต้องให้กระทรวงแรงงานเข้าฝึกอาชีพพร้อมจัดหาตำแหน่งงานให้เข้าทำงาน เชื่อว่าชุมชนจะน่าอยู่พ่อแม่ที่ทนทุกข์อยู่นานจะหายจากทรมานใจ

  “หากรัฐบาลสามารถทำได้แบบนี้เชื่อว่านโยบายปราบยาเสพติดบรรลุเป้าอย่างแน่นอน แต่นายกรัฐมนตรีต้องใจแข็งและพร้อมที่จะเป็นกำแพงให้เจ้าหน้าที่ยืนพิงอย่างไม่หวั่นไหว เพราะขบวนค้ายาเสพติดในประเทศไทยใหญ่เกินกว่าจะให้เจ้าหน้าที่สู้แบบโดดเดี่ยว”เจ้าหน้าที่ฯระบุและว่า ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาขบวนการค้ายาเสพติดซึมลึกเข้าไปเกือบทุกองค์กรของรัฐทั้ง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและนักการเมืองทุกระดับตั้งแต่ท้องถิ่นยันระดับชาติ

     นี่คือแนวทางที่เป็นไปได้ที่สุด แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่าประชาชนทุกหย่อมหญ้าสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น  แต่ทั้งขึ้นอยู่กับศักยภาพของนายเศรษฐา ว่าจะมีเพียงพอที่จะบริหารจัดการหรือไม่ เพราะดูอาการตลอด 10 เดือนที่ผ่านมาไม่น่าจะมีศักยภาพพอ มิเช่นนั้น”หนองบัวลำภูโมเดล”คงจะถูกขยายผลไปใช้ทั่วประเทศแล้ว

       ถ้าจะให้นโยบายนี้บรรลุเป้าหมายนายเศรษฐา ต้องโชว์บทบาทจริงจัง จี้ถามความคืบหน้าอย่างน้อยทุก 15 วัน เพราะข้าราชการไทยชอบให้ถือไม้เรียวคุมมากกว่าประนีประนอม !!!