สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ ยังมีจุดยืนเหมือนเดิมที่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ปม บิ๊กตำรวจเปิดศึกห้ำหั่นกับแบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ เพราะรู้สึกละอายแทนบรรดาตำรวจที่มีผู้บังคับบัญชาเอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่สนใจว่าองค์กรจะถูกสังคมมองแบบดูแคลนแค่ไหน
ซึ่งปกติองค์กรตำรวจ มักจะถูกมองในเชิงลบอยู่แล้ว เพราะทำงานเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดย่อมจะถูกมองเห็นได้ง่าย
อย่างในเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาได้รับคำชมอย่างล้นหลาม แต่คล้อยหลังไปถึงสัปดาห์เกิดเหตุฉาวโฉ่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆถึง 3 โรงพัก
ประเดิมที่โรงพักสามควายเผือก จ.นครปฐม รองสารวัตรสืบสวนพร้อมกำลังฝ่ายสืบสวน 7 นาย เข้าตรวจสอบแรงงานต่างด้าวภายในโรงงานไก่ คุมตัวแรงงานชาวพม่า 5 คนไปโรงพัก ต่อมาเจ้าของโรงงานนำหลักฐานมาแสดงแล้ว แต่ขู่จะดำเนินคดีกับเจ้าของโรงงาน ก่อนจะเรียกเงิน 2 แสนบาท แต่เจ้าของโรงงานปฏิเสธ ต่อมาเจ้าของโรงงานให้ผู้ใหญ่ที่นับถือต่อรองเพราะไม่อยากเป็นคดีความ ตำรวจลดให้เหลือ 15,000 บาท เจ้าของโรงงานยอมจ่าย เพื่อยุติเรื่อง จากนั้นไม่นานเจ้าของโรงงานกลับถูกตำรวจชุดดังกล่าวรีดไถเงิน จนตำรวจโรงพักเดียวกันทนไม่ไหวนำคลิปในวงจรปิดมอบให้เจ้าของโรงงานไปร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ กระทั่งถูกตั้งกรรมการสอบสวนและสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
เหตุที่ 2 เกิดขึ้นที่โรงพักเมืองขอนแก่น ตำรวจจราจรเมืองขอนแก่น นายหนึ่ง ออกใบสั่งปรับวินัยจราจร จากนั้นเสนอลดค่าปรับให้ แต่ต้องโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้หญิงรายหนึ่ง ค่าปรับ 2,000 บาท ถ้าจ่ายด้วยการโอนจะจ่ายประมาณ 500-1,000 บาท ปรากฏว่ามีผู้กระทำผิดโอนเข้าบัญชีหลายราย ต่อมา ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งทั้งเจ้าของบัญชี ผู้โอน และตำรวจผู้ก่อเหตุเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการแล้ว
เหตุที่ 3 เกิดขึ้นที่โรงพักแคนดง บุรีรัมย์ ผู้เสียหายร้องเรียนว่าถูกตำรวจดองคดี 8 เดือน ไม่ยอมทำงาน ซ้ำโดนด่ากลับ ผู้เสียหายบอกว่าคนร้ายหญิงขโมยเงินที่ร้านไปหลายพันบาท ไปแจ้งความพนักงานสอบสวนพร้อมนำคลิปกล้องวงจรปิดไปมอบให้ ต่อมาคนร้ายขอไกล่เกลี่ย ตนยินยอมแต่ตำรวจบอกว่าไม่ว่างนัดกันวันหลัง สุดท้ายคนร้ายหลบหนีไป ได้สอบถามพนักงานสอบสวนเป็นระยะๆได้คำตอบว่ายังไม่ว่าง จนไม่ค่อยกล้าไปหาแต่คุยทางไลน์ สุดท้ายตำรวจบอกว่า”ไม่ได้มีเรื่องพวกเจ้าเรื่องเดียว หันไปทางนั่นก็เรื่องทางนี่ก็เรื่อง ประสาทจะกินก่อนลาออก” บางข้อความตำรวจถ่ายภาพสำนวนส่งให้ดูพร้อมกับบอกว่ามาอยู่บ้านไม่ได้อยู่เฉยต้องหอบงานมาทำ”
“ต่อมาไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อติดตามคดีได้รับคำอธิบาย ถ้าขอหมายศาลออกมาแต่เขาหนีไปที่อื่น หมายจับที่ออกไปจะค้างอยู่ที่โรงพัก จะโดนเจ้านายด่าอีก ฟังแล้วรู้สึกน้อยใจที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น เพราะเมื่อเกิดคดีแล้วต้องดำเนินการตามกฎหมาย”ผู้เสียหายระบุ
ที่ยกมานำเสนอเพียงเพื่อสะท้อนว่างานบริการประชาชนบนโรงพัก ค่อนข้างมีปัญหาอาจจะเกิดจากหัวหน้าโรงพัก ขาดความเอาใจใส่ที่จะบริหารจัดการ ไม่เอาใจใส่ความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีพอ
กรณีของโรงพักสามความเผือก เป็นพฤติกรรมของตำรวจนอกลู่ที่ไม่รู้จักพอ และอาจจะเกิดลักษณะแบบนี้หลายครั้งแล้วจนเกิดอาการย่ามใจ จนตำรวจโรงพักเดียวกันทนไม่ไหว หรือกรณีตำรวจจราจรขอนแก่น อาจจะเกิดจากรายได้ไม่เพียงพอเลยต้องปฏิบัตินอกลู่ ถ้ามองตามรูปการแล้วทั้งสองกรณีไม่น่าให้อภัย เพราะรู้อยู่แล้วว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่กรณีโรงพักแคนดง น่าเห็นใจมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีในแวดวงพนักงานสอบสวนว่างานคดีล้นมือ เข้าเวรรับคดีแล้ว พอออกเวรแทนที่จะได้พักผ่อนต้องนำสำนวนคดีไปทำต่อ กำลังที่สนับสนุนแทบจะไม่มี อย่างกรณีออกหมายจับคนร้ายแล้ว ถ้าฝ่ายสืบสวนหรือปราบปรามไม่ช่วยติดตามจับคนร้ายให้ หมายจับจะค้างที่โรงพัก เมื่อผู้บังคับบัญชาตรวจสอบจะถูกตำหนิอย่างรุนแรง ลักษณะนี้เชื่อว่าไม่ได้เกิดแค่โรงพักแคนดงเพียงที่เดียว แต่เกิดขึ้นเกือบทุกโรงพักทั่วประเทศ
ถ้ามองอย่างวิเคราะห์ถ้า 3 โรงพักได้ผู้นำดี บริหารจัดการเก่ง เอาใจใส่ผู้บังคับบัญชาแบบไม่ขาดตกบกพร่อง เชื่อว่าทั้ง 3 เหตุการณ์ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ขอฝากถึง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)รักษาการ ผบ.ตร.ช่วยเร่งแก้ปัญหางานโรงพักให้บรรลุเป้าโดยเร็ว เพื่อจะได้เกราะป้องกันให้แคล้วคลาดจากหมู่มารที่คอยจะเล่นงานด้วยการตีความกฎหมายแบบแถๆ
จึงได้แต่บอก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ว่าขอหนักแน่ท่องภาษาพระว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด แล้วหมู่มารจะแพ้ภัยไปเอง !!!