ดีเดย์ 23 เม.ย. ‘อธิบดีฝนหลวงฯ’ สั่งปรับแผน ตั้งหน่วยฯ ฝนหลวง จ.กระบี่ ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร เติมน้ำต้นทุนให้เขื่อน-อ่างเก็บน้ำในภาคใต้ตอนกลาง
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวหลังนำคณะลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการปฏิบัติการฝนหลวง ณ หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.กระบี่ ภายในท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ โดยมีนายอนุวรรตน์ โหมดพริ้ง นายสมปราชญ์ ปราบสงคราม รองผวจ.กระบี่ หัวหน้าส่วนราชการในจ.กระบี่ ร่วมประชุมรับฟังแผนและผลการปฏิบัติการของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ ว่า ขณะนี้สถานการณ์ความต้องการน้ำในหลายพื้นที่ของภาคใต้ตอนกลางกำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร ขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค และมีความต้องการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำประปาในจังหวัดที่เริ่มวิกฤติ โดยสลับเครื่องสูบน้ำไปยังคลองกระบี่ใหญ่เพื่อผลิตน้ำประปา เนื่องจากปริมาณน้ำบริเวณนี้ลดลงต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อประชาชน สถานประกอบ ตามแหล่งท่องเที่ยว ย่านการค้าเมืองกระบี่ ที่ต้องเตรียมภาชนะเก็บกักน้ำไว้ใช้อุปโภคบริโภคในวันที่น้ำประปาไม่ไหล
นายสุพิศ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ปรับแผนการทำงาน โดยจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.กระบี่ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ ตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. เป็นต้นไป ใช้เครื่องบินขนาดกลาง (คาซ่า) 2 ลำ ปฏิบัติการช่วยบรรเทาปัญหาในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ จ.กระบี่ พังงา ภูเก็ต ตรังและพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตก จากการติดตามสภาพอากาศในเช้าวันที่ 23 เม.ย. หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.กระบี่ จึงขึ้นบินปฏิบัติการ ในเวลา 09:30 น. ขั้นตอนที่ 1 (ก่อเมฆ) ใช้สารฝนหลวงสูตร 1(4/2) หรือเกลือแป้ง 1,000 กิโลกรัม ปฏิบัติการบริเวณจ.กระบี่และสุราษฎร์ธานี และหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.สุราษฎร์ธานี ขึ้นบินปฏิบัติการ ก่อเมฆ โดยใช้เกลือแป้ง 700 กิโลกรัม ปฏิบัติการบริเวณจ.ตรังและกระบี่ เป้าหมายช่วยเหลือพื้นที่จ.กระบี่ พังงาและภูเก็ต
“ขณะนี้ได้ปิดหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.สงขลา มาจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.สุราษฎร์ธานี ณ สนามบินกองบิน 7 อ.พุนพิน ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. ใช้เครื่องบินขนาดเล็ก (คาลาแวน) 2 ลำ และเครื่องบิน BT-67 จากกองทัพอากาศ 1 ลำ ขึ้นบินปฏิบัติการไปแล้ว 3 วัน 7 เที่ยวบิน ทำให้มีฝนตกในพื้นที่รับผลประโยชน์ 6 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา กระบี่ และภูเก็ต ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นการระดมการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.กระบี่และสุราษฎร์ธานี เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ภาคใต้ตอนกลางและภาคใต้ตอนล่าง สำหรับการช่วยเหลือพื้นที่ภาคใต้ตอนบน มีหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ตั้ง ณ สนามบินกองบิน 5 จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปฏิบัติการมาตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. รวม 9 วัน 28 เที่ยวบิน ทำให้มีฝนตกบริเวณพื้นที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ จ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร”นายสุพิศ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แผนการทำงานของหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดกระบี่หลังจากนี้ จากการติดตามแนวโน้มสภาพอากาศ พบบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีโอกาสปฏิบัติการฝนหลวงได้มาก ในเดือนนี้จึงมีแผนช่วยเหลือพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ กระบี่ พังงา ภูเก็ต และตรัง ส่วนในเดือนพ.ค. โอกาสการเกิดฝนมีมากขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะช่วงชิงสภาพอากาศปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยให้สถานการณ์ความต้องการน้ำในพื้นที่การเกษตร น้ำอุปโภค-บริโภค และน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ภาคใต้ตอนกลางดีขึ้น ทั้งนี้ พี่น้องเกษตรกรและพี่น้องประชาชนสามารถขอรับบริการฝนหลวงได้ทุกวัน ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยติดต่อไปที่ 02-109-5100 ต่อ 410, ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง 7 ภูมิภาค อาสาสมัครฝนหลวงในพื้นที่ เว็บไซต์ขอรับบริการฝนหลวง https://it.royalrain.go.th/rainmaking/ หรือช่องทางโซเชียลมีเดียของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร: @drraa_pr