พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพอใจที่ได้รับทราบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.60 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 อยู่ที่ระดับ 79.2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 35 เดือน นับตั้งแต่เดือน ก.พ.58 โดยมีปัจจัยบวกมาจากการส่งออกที่ขยายตัว การท่องเที่ยวที่ดี มาตรการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับขึ้น และข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
“มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจในปี 61 อาจขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5 ตามการคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เช่นเดียวกับตัวเลขของ ธ.ออมสินที่ประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ถึงร้อยละ 4.6 เพราะรัฐบาลพยายามเร่งรัดการใช้จ่ายและการลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง โครงการพัฒนาท้องถิ่นของ อปท. โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน โครงการยกระดับ SMEs โครงการพัฒนาอีอีซี รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว” นายกฯ กล่าว
ทั้งนี้นายกฯ ยังเป็นห่วงและให้ความสำคัญกับปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยคาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทั้งนี้ รัฐบาลมีมาตรการรักษาเสถียรภาพและยกระดับราคาสินค้าเกษตร เช่น โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2560/61 ที่ช่วยชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลาดข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียว การเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ระหว่างจังหวัด การส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น และการเข้มงวดกับการนำเข้ามันสำปะหลังจากต่างประเทศ ฯลฯ
“ส่วนการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยนั้น รัฐบาลจะออกมาตรการระยะที่ 2 โดยมีแนวทางหลัก คือ การช่วยเหลือผู้ที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5.3 ล้านคน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการจัดทำแผนที่ชีวิต โดยหวังว่าจะช่วยให้คนกลุ่มนี้มีงานทำ มีการศึกษาอบรมที่เหมาะสมกับศักยภาพ รวมทั้งได้เป็นเจ้าของกิจการ หรือเป็นลูกจ้าง หรือออกไปทำงานต่างประเทศได้ และมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ หรือสามารถจ่ายค่าเช่าที่อยู่อาศัยได้”