เลิกคิดปฏิรูป“สำนักสีกากี”ได้แล้ว ปฏิวัติ 2 รอบ ถลุงงบฯบาน-ยังเหลว แนะยึด”กม.ตำรวจ-เพิ่มสวัสดิการ”                                 

903

         อดีตตำรวจต่างส่งข้อความมาบอกถึงความอัดอั้นตันใจที่องค์กรตำรวจตกต่ำถึงขีดสุด หลังเกิดศึก 2 บิ๊กตำรวจ พร้อมยกสุภาษิตเชิงตลกร้ายว่าอีกาบินว่อนเหนือสำนักปทุมวันเพื่อกินไส้ที่กำลังสาวกันออกมา


       ขณะเดียวกันเกิดกระแสเรียกร้องจากนักการเมือง นักวิชาการว่าถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกคำรบหนึ่ง


      “ประดู่แดง”คงบอกได้แต่เพียงว่าเลิกคิดหรือหยุดคิดได้แล้ว เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยมีแต่เสียเวลาและเปลืองงบประมาณเปล่าๆ


    หากย้อนดูการปฏิรูปตำรวจพบว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ผลการศึกษาไม่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด การก่อรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง การปฏิรูปตำรวจเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เผด็จการทหารใช้อ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจด้วย
   

ยุคที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั่งนายกรัฐมนตรีใต้ร่มเงาของเผด็จการ มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ นำโดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร กรรมการมาจากหลากหลายองค์กร ถกเถียงกันจนตกผลึกได้พิมพ์เขียวมาเล่มหนึ่ง กับงบประมาณที่ใช้ไปเกือบ  30 ล้านบาท แต่ถูกเก็บซุกไว้


    พอมาถึงยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การปฏิรูปตำรวจถูกหยิบยกขึ้นมาดำเนินการอีกครั้ง ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุด ทั้งชุดของ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และชุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ใช้เวลากว่า 8 ปี กับงบประมาณเกือบร้อยล้านบาทคลอดกฎหมายตำรวจ 2565 ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ประเดิมใช้ครั้งแรกในการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งาชาติ(ผบ.ตร.) ก็ถูกนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชตำรวจ(ก.ตร.)และ ก.ตร.ละเลยเสียแล้ว แทนที่จะตั้งรองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 มากด้วยประสบการณ์กลับไปตั้งรองผบ.ตร.อาวุโสรั้งท้ายโตแบบเรียนลัด


      กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งในแวดวงตำรวจและนักการเมืองฝ่ายค้าน พอแต่งตั้งระดับรองลงมา กฎกติกานี้ถูกละเลยอีกเช่นกัน ตำรวจไร้เส้น ไร้เงิน ต้องย่ำอยู่กับที่ ซึ่งเปรียบได้กับวงจรอุบาทว์ที่วนเวียนกันอยู่แบบซ้ำซาก กลายเป็นเป้าให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์จนขาดความน่าเชื่อถือ


       ดังนั้นถ้านายกรัฐมนตรีหรือผู้นำองค์กรสีกากี คิดจะขับเคลื่อนงานตำรวจให้ลื่นไหล เป็นที่ศรัทธาของประชาชนจริงๆทำได้ไม่อยากเลย 


       ประเด็นแรกหันมาใส่ใจกับความเป็นอยู่ของตำรวจระดับปฏิบัติการอย่างจริงจัง เพราะอย่าลืมว่าหน้างานของตำรวจมีหลากหลายเกี่ยวข้องกับประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย


      แต่สภาพความเป็นอยู่และสวัสดิการด้านต่างๆไม่ได้ดึงดูดให้ตำรวจอยากปฏิบัติหน้าที่เต็มศักยภาพ อย่างกรณีตำรวจชั้นประทวนที่เป็นกำลังหลักเงินเดือนแทบจะไม่พอยาไส้แล้ว นอกจากใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว บางนายยังต้องควักเงินเพื่อจ่ายค่าเช่าที่พักอีกต่างหาก เพราะแฟลตหรือบ้านพักไม่เพียงพอ  ยิ่งถ้าเจอหัวหน้าโรงพักโลภออกแนวกินรวบ นอกจากอมเงินนอกระบบแล้ว เบี้ยเลี้ยงตำรวจในโรงพักจะถูกหักหัวคิวอีกต่างหาก


       ขณะที่พนักงานสอบสวนเป็นกำลังสำคัญในการทำสำนวนคดี เงินเดือนไม่พอยาไส้เช่นกัน แม้จะมีเงินค่าทำสำนวนก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการทำสำนวน เพราะนอกจากจะต้องสอบปากคำผู้ต้องหา ผู้เสียหายและพยานแล้ว ยังต้องนำผู้ต้องหาไปฝากขังศาล คดีขึ้นสู่ศาลยังต้องเดินทางไปเบิกความอีก แต่ละขั้นตอนล้วนแต่ต้องมีค่าใช้จ่ายแทบทั้งสิ้น และถ้าหัวหน้าโรงพักโลภจะถูกหักหัวคิวเงินค่าสำนวนอีกต่างหาก


      งานสืบสวนปริมาณงานมากเช่นกัน กว่าจะสืบสวนจับกุมคนร้ายได้ ต้องใช้เงินไปไม่น้อย บางคดีใช้เงินเรือนแสนแต่เบิกได้ไม่ถึง 20,000 บาท หากไม่ทำจะถูกผู้บังคับบัญชาไล่บี้เพื่อสร้างผลงานให้กับตัวเอง ส่งผลให้ฝ่ายสืบสวนต้องมีพฤติกรรมนอกลู่ หาเงินจากบ่อนการพนัน หรือเว็บพนันออนไลน์ หรือสถานบันเทิงผิดกฎหมาย หากพื้นที่ใด หัวหน้าโรงพัก ผู้บังคับการ และผู้บัญชาการ ได้ตำแหน่งมาจากการเซ็งลี้ ปรากฏการณ์ถอนทุนจะเกิดขึ้นแบบตำรวจท้องที่ต้องหนักใจ


      ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่ตำรวจต่างประสบอยู่ ถ้าตำรวจคนไหนยึดมั่นในอุดมการณ์ตำรวจนอกจากจะย่ำอยู่กับที่ตำแหน่งไม่ก้าวหน้าแล้วยังต้องค่อยบริหารหนี้สินให้ผ่านไปได้แบบเดือนชนเดือน
       
ดังนั้นถ้ารัฐบาลอยากให้ตำรวจทำงานแบบเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องปฏิรูปโครงสร้างตำรวจให้เปลืองงบประมาณเลย เพียงแค่เพิ่มค่าตอบแทนให้สมน้ำสมเนื้อจัดสวัสดิการให้ตำรวจอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีและการบริหารงานบุคคลยึดกฎหมายให้เคร่งครัดลงโทษตำรวจประพฤติชั่วแบบเฉียบขาด และขจัดระบบขอยกเว้นเรียนลัดให้สิ้นซาก รับรองว่าตำรวจจะเป็นขวัญใจของประชาชนอย่างแน่นอน !!!