“เลือดสีเดียวกัน มีหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ ปชช.”ฟัดกันนัว”นายกฯ -​ ผบ.ตร.”อย่าลอยตัว-วางเฉย วอนโชว์ภาวะผู้นำเร่งสยบรอยร้าว

862

                                       
                  นับแต่เปิดศักราชใหม่ตำรวจกลายเป็นองค์กรที่ประชาชนไร้ศรัทธามากที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่เป็นกรมตำรวจและเปลี่ยนเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติมา กว่า 100 ปี ยังไม่เคยมีความขัดแย้งภายในทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแบ่งฝ่ายห้ำหั่นกันแบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันเหมือนยุคนี้

                 พล.ต.ต.ทั้งที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ที่มีเงาทะมึนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ตำรวจสองแสนนายต่างรู้ดีว่าคือใคร เปิดศึกวิวาทะกับ พล.ต.อ.ต่างคนต่าง งัดสารพัดรูปแบบวิชามารออกมาเล่นงานกัน ขุดจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายประจานผ่านสื่อ ฝ่ายหนึ่งใช้คดีความเป็นเครื่องมือ อีกฝ่ายอ้างข้อมูลความเลวที่กำไต๋อยู่ออกมาประกาศลั่น ถึงขั้นประกาศว่าจะแถลงเส้นทางเงินสีเทาที่มีจำนวนมหาศาลไหลถึงใครบ้าง ภาษานักเลง ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน“
                   
หากเปรียบเทียบความขัดแย้งของ ตำรวจระดับนายพลในอดีตกับปัจจุบัน ดูเหมือนจะแตกต่างกับราวฟ้ากับเหว
                   ในอดีตแม้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะขัดแย้งช่วงชิงอำนาจกัน จะเป็นไปแบบเก็บเงียบอยู่ภายใน ไม่นำออกประจานผ่านสื่อเหมือนยุคนี้ เพราะตำรวจชั้นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่หน้าบาง รักศักดิ์ศรี รักองค์กร ภูมิใจในความเป็นตำรวจ หากเดินเกมแพ้ ”จะยอมรับสภาพแบบลูกผู้ชาย“ก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้องค์กร บ่อยครั้งจะเห็นภาพผู้ชนะกับผู้พ่ายเกมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันสางคดีสำคัญๆแบบใจถึงใจ มันถึงจะเป็นต้นแบบสภาพบุรุษสีกากี ที่แท้จริง

                 แตกต่างกับยุคนี้ทั้งผู้ชนะและผู้พ่าย พร้อมจะปะดาบฟาดฟันกันเสมอ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ แถมใช้สื่อทุกชนิดเป็นเครื่องมือประจานฝ่ายตรงข้าม
                จึงไม่แปลกที่ได้เห็นภาพบรรดานายตำรวจระดับ พล.ต.อ.ยันชั้นประทวน ที่เกี่ยวข้องกับคดีความถูกออกหมายจับหรือหมายเรียก กว่าจะรู้ว่าตัวเองโดน หมายจับหรือหมายเรียกไปปรากฏบนสื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ประเด็นลักษณะนี้ควรให้เกียรติในฐานะตำรวจด้วยกัน ในอดีตกว่าสื่อจะทราบ ตำรวจเหล่านั้นเดินทางเข้ามอบตัวหรือเข้าให้ปากคำแล้ว ยิ่งเป็นนายตำรวจระดับสูงระหว่างส่งหมาย จะไปส่งแบบเงียบๆ อาทิไปที่บ้านหรือสำนักงาน

             แต่ปัจจุบันจะเน้นความอื้อฉาวเพื่อดิสเครดิตกัน ล่าสุดพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง นำหมายเรียกไปส่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)ถูกกล่าวหาว่าพัวพันเว็บพนันออนไลน์ ที่บ้านพักย่านถนนวิภาวดีรังสิต ปรากฏว่าช่วงเดินทางไปถึงหน้าหมู่บ้านทัพสื่อมวลชนรอทำข่าวกันจำนวนมาก แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่อยู่บ้าน

     ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าทราบข่าวแล้ว จะขอดูว่าเป็นหมายอะไร สอบสวนโดยชอบหรือไม่ชอบ ถ้าสอบสวนโดยมิชอบการออกหมายเรียกก็ออกโดยมิชอบ และจะให้ทนายความแถลงข่าวให้ทราบ

     กรณีที่เกิดขึ้นมองได้หลายประเด็น อาทิ การทำงานของพนักสอบสวนคดีนี้ทำงานตรงไปตรงมาหรือไม่.? ถึงแม้จะมีนายตำรวจระดับสูงเกี่ยวข้องจะดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น หรือจะมองว่าเป็นการเปิดเกมรุกของฝ่ายที่เป็นอริกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็มิได้เกินเลย หรือจะมองว่าต้องการที่จะประจาน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือสามารถมองได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่าใครจะมองมุมไหน

   แต่ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารอยร้าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกตอกลิ่มความแตกแยกให้ร้าวลึกลงไปเกินจะเยียวยา ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีกับองค์กรตำรวจและประชาชนเลย

   องค์กรตำรวจคือต้นธารของกระบวนการยุติธรรม เมื่อบุคลากรอยู่กันแบบแตกความสามัคคี ต่างถือดาบไว้เพื่อจะฟาดฟันกัน แล้วจะให้ชาวบ้านพึ่งพาได้อย่างไร ความร้าวฉานนี้เกิดมาตั้งแต่ก่อนจะแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. แต่ถูกกวาดซุกไว้ใต้พรหม

    แม้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)จะสั่งให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เคลียร์ใจกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แล้วก็ตาม แต่อาการคุกรุ่นไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันยังคงอยู่จนปะทุขึ้นอีกคำรบหนึ่ง

    ถ้า นายเศรษฐา อยากสยบรอยร้าว ต้องไม่ลอยตัว วางเฉย เร่งโชว์บทบาทภาวะผู้นำเข้าไปจัดการปัญหาด้วยตัวเองโดยด่วน อย่าคาดหวังให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จัดการ เพราะตลอดเวลากว่า 5 เดือน บนเก้าอี้ ผบ.ตร. มีแต่ภาพเดินสายทำบุญ ขึ้นเวทีโชว์ลูกคอ เยี่ยมโรงพักห่างไกล ปล่อยภาพกินอาหารจานเดียวถ่ายภาพลงสื่อ มากกว่าที่จะกำชับกองบัญชาการหลักๆลุยอาชญากรรม ปราบยา จัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ยังระบาดอย่างหนัก
 
พอเกิดศึกขัดแย้งภายใน พล.ต.ต.งัดข้อกับ พล.ต.อ. แทนที่จะแก้ปัญหาให้สะเด็ดน้ำ กลับทำได้แค่เพียงออกคำสั่งให้ทั้งสองฝ่ายรูดซิปปากห้ามจ้อสื่อเท่านั้น

    ดังนั้นถ้านายเศรษฐา ต้องการจะแก้ปัญหาให้สะเด็ดน้ำ ทำได้ไม่ยากเพียงแค่เรียกให้สองฝ่ายเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วชั่งน้ำหนักดูว่าฝ่ายไหนยืนอยู่บนความถูกต้องมากที่สุด หรือเพื่อความกระจ่างให้มากขึ้นตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาจจะมาจาก ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิและอดีตตำรวจเป็นกรรมการสอบให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งบานปลาย เมื่อพบฝ่ายไหนผิดสั่งดำเนินคดี เรื่องง่ายๆเอาหลักกฏหมายมากางใครเข้าข่ายผิด ก็ฟันฉับโดยเร็ว แต่อย่าเอียง ที่สำคัญสุดต้องมีระบบคุณธรรมให้คู่กรณี อย่ามีธง ที่นอกเหนือกฏหมาย และเบียบทางปกครองกำหนดเท่านั้น

   ระหว่างดำเนินคดีออกคำสั่งให้นายตำรวจเหล่านั้นไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล โดยอาศัย กฏหมายตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 หรือจะใช้ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อไม่ให้ขัดกับกฎหมายตำรวจซึ่งในประเด็นย้ายตำรวจออกนอกหน่วยต้องได้รับความยินยอม

   รับรองว่าพายุโหมกระหน่ำถล่มสำนักปทุมวันสงบแน่นอน เพียงแต่นายเศรษฐา ที่เป็นผู้บังคับชาระดับสูงสุด ของสำนักงานตำรวจแก่งชาติจะกล้าพอที่จะจัดการหรือไม่เท่านั้น หรือเลือกจะลอยตัว แบบไร้วุฒิภาวะผู้นำ !!

“จงอย่าลืมว่า ท่านเป็นตำรวจ
จงทำตนให้สมกับที่เป็นตำรวจ
จงเป็นตำรวจที่ดี ไม่ว่าจะเป็นตำรวจชั้นใดจะเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรก็ดี ขึ้นนายสิบหรือพลตำรวจก็ดีนับเป็นผู้มีเกียรติเสมอเหมือนกันหมด…คือเกียรติแห่งลูกผู้ชายที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมืองของตน “

พระบรมราชโอวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาล ที่ 9 ในพิธีพระราชทานธงชัยประจำหน่วยตำรวจ และพิธีสวนสนามเนื่องในวันตำรวจ วันที่ 13 ตุลาคม 2495