ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามหลักอาวุโส โดยระบุว่า : “โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังและโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามหลักอาวุโส ในระหว่างรอการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลข้าราชการตำรวจ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 260 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คณะรัฐมนตรีจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ใช้หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามหลักอาวุโสนี้ ตี้งแต่ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ข้อ 2 การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจให้ดำเนินการตามหลักอาวุโสซึ่งหมายความว่า ข้าราชการตำรวจผู้มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการตำรวจในแต่ละระดับ (อายุงานในแต่ละระดับ) ที่มีความเหมาะสมให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์นี้จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น โดยกำหนด ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งในแต่ละระดับและคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
ระดับตําแหน่งยศระยะเวลาการดํารงตําแหน่ง ในแต่ละระดับไม่น้อยกว่า จเรตํารวจแห่งชาติ และ รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ เลื่อนเป็น ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชําติ พลตํารวจเอก 1 ปี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ เลื่อนเป็น จเรตํารวจแห่งชาติ และ รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชําติ พลตํารวจโท 1 ปี ผู้บัญชาการ เลื่อนเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชําติ พลตํารวจโท 1 ปี รองผู้บัญชํานาญการ เลื่อนเป็น ผู้บัญชาการ พลตํารวจตรี 1 ปี ผู้บังคับการ เลื่อนเป็น รองผู้บัญชาการ พลตํารวจตรี 2 ปี รองผู้บังคับการ เลื่อนเป็นผู้บังคับการ พันตํารวจเอก ซึ่งได้รับอัตราเงินเดือน พันตํารวจเอก (พิเศษ) 5 ปี และมีคุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ การเลื่อนยศเป็น พลตํารวจตรี ผู้กํากับการ เลื่อนเป็น รองผู้บังคับการ พันตํารวจเอก 5 ปี
ระดับตำแหน่งยศระยะเวลาการดํารงตําแหน่ง ในแต่ละระดับไม่น้อยกว่า รองผู้กำกับการ เลื่อนเป็น ผู้กํากับการพันตํารวจโท 4 ปี สารวัตร เลื่อนเป็น รองผู้กํากับการ พันตํารวจโท 6 ปี รองสารวัตร เลื่อนเป็น สารวัตร ร้อยตํารวจเอก 7 ปี
ข้าราชการตำรวจที่มีระดับตำแหน่ง ระยะเวลา และคุณสมบัติตามวรรคหนึ่งให้ถือว่า เป็นข้าราชการตำรวจท่ีอยู่ในหลักอาวุโสเดียวกันโดยให้พิจารณาข้าราชการตำรวจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เรียงลกดับอาวุโสไว้แล้วได้รับการพิจารณาเรียงตามลำดับอาวุโสร้อยละสามสิบสามของจำนวนตำแหน่งว่าง ในระดับเดียวกันในหลักเกณฑ์ตามข้อ 3 สำหรับข้าราชการตำรวจท่ีมีระดับตำแหน่ง ระยะเวลา และคุณสมบัติไม่ครบตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าเป็นข้าราชการตำรวจที่ไม่อยู่ในหลักอาวุโส
ไม่ให้นาวิธีนับอาวุโสในการรักษาราชการแทนของข้าราชการตำรวจมาใช้ในการพิจารณาแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการตำรวจตามหลักเกณฑ์น้ี
การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่อยู่ในหลักอาวุโสเดียวกันให้ไปดำรงตำแหน่งในระดับเดียวกัน หรือเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นให้พิจารณาโดยคานึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถ ตลอดจนผลงาน และประโยชน์แก่ทางราชการตำรวจตามนัยแห่งมาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประกอบกันเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้รับความเป็นธรรม ในการแต่งตั้งและโยกย้าย สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ในอาณัติของผู้ใด มีประสิทธิภาพ และภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่และตำแหน่งของตน
การคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสานักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติคัดเลือกรายช่ือจากข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการ และรองผู้บังคับการ แล้วแต่กรณี ที่มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งครบถ้วนตามวรรคหนึ่ง และจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุต้ังแต่ 59 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและมีเวลาราชการเหลือไม่เกิน 6 เดือน
ในกรณีท่ีเป็นการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในตำแหน่งควบปรับระดับเพิ่ม – ลดได้ในตัวเองทุกกรณี ให้มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามระเบียบหรือหลักเกณฑ์ว่าด้วยการนั้น
ข้อ 3 ให้นำหลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ กำหนดไว้แล้วซื่งใช้อยู่ เดิม และไม่ขัดหรือแย้งกับหลักเกณฑ์นี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 4 ข้าราชการตำรวจที่เห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายให้ร้องทุกข์ หรือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาได้ตามกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ ในกรณีที่ข้าราชการตำรวจ หรือบุคคลใดพบหรือทราบว่ามีการเรียก รับ หรือกระทาด้วยประการอื่นใดอันมีการเรียกร้อง ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนตอบแทนในลักษณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ให้แจ้งเบาะแส พฤติการณ์และตัวบุคคลอันสามารถนาไปสู่การสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป โดยไม่จำเป็น ต้องแจ้งชื่อและที่อยู่ ต่อศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กระทรวงยุติธรรม เพื่อตรวจสอบและนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายโดยทางการจะรักษาข้อมูลเกี่ยวกับ ผู้แจ้งไว้เป็นความลับ
ข้อ 5 ในกรณีมีข้อสงสัยหรือปัญหาการตีความตามหลักเกณฑ์การแต่งต้ังและโยกย้าย ข้าราชการตำรวจนี้ ให้ ก.ตร. เป็นผู้วินิจฉัย คาวินิจฉัยของ ก.ตร. ถือเป็นที่สุด แล้วรายงานให้ นายกรัฐมนตรีทราบ โดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในประกาศดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมานี้