โรงเรือนผักอัจฉริยะพลังงานแสงอาทิตย์

99

กรมวิชาการเกษตร โชว์นวัตกรรม“โรงเรือนผักอัจฉริยะพลังงานแสงอาทิตย์”สำหรับแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ออกแบบโรงเรือนอย่าง่ายให้เหมาะสมกับเกษตรกร

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในฐานะหน่วยงานวิจัยหลักด้านพืชและเครื่องจักรกลการเกษตรของประเทศไทย จึงได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาสู่การเกษตรอัจฉริยะ ให้สามารถเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย ลดต้นทุนการผลิต แก้ไขปัญหาด้านแรงงานภาคเกษตร รวมถึงเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร สร้างรายได้เพิ่มกับเกษตรกร ตามนโยบายการเกษตรอัจฉริยะของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในปี 67 สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร ได้พัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะอย่างง่ายสำหรับการปลูกพืชผักมีราคาที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครราชสีมา เพื่อแสดงถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรม ร่วมกับการทำเกษตรตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ให้ประสานกันอย่างกลมกลืน ใช้แรงงานน้อยลง และเพิ่มคุณภาพของผลผลิต และปลอดสารพิษตกค้าง

 
ด้าน น.ส.ขนิษฐ์ หว่านณรงค์ วิศวกรการเกษตรชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม  กล่าวว่า ได้ออกแบบโรงเรือนอัจฉริยะอย่าง่ายที่เหมาะสมกับเกษตรกร โดยโรงเรือนมีขนาดกว้าง 5.3 เมตร ยาว 18 เมตร สูงจากพื้นถึงคานบน 2.35 เมตร หลังคาพลาสติก ด้านข้างเปิดโล่ง หรือสามารถติดแสลนบังแสงและลมด้านข้างได้ เพื่อปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่งในกล่องโฟม วางโต๊ะปลูกขนาด 1×3 เมตร ได้ 10-15 โต๊ะ แต่ละโต๊ะวางกล่องโฟมปลูกผักขนาด 39x54x20 เซนติเมตร ได้ 10-12 กล่อง แต่ละกล่องสามารถปลูกได้ 6-8 ต้น โดยโรงเรือนสามารถปลูกผักได้ 600-1,440 ต้น

ภายใต้หลังคาโรงเรือนได้ติดตั้งระบบตาข่ายพรางแสงอัตโนมัติเพื่อลดความร้อนที่จะสัมผัสกับผักโดยตรง ควบคุมมอเตอร์พรางแสงด้วยบอร์ดสมองกลฝังตัว Arduino uno ซึ่งอ่านค่าอุณหภูมิจากเซนเซอร์ในโรงเรือนและประมวลผลทุก 3 นาที ถ้าอุณหภูมิของอากาศภายในโรงเรือนสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ตาข่ายพรางแสงจะทำงานอัตโนมัติ เขียนโปรแกรมควบคุมสมองกลด้วยภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ของเกษตรกร และได้ออกแบบให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์สำหรับควบคุมการทำงานของมอเตอร์พรางแสง เพื่อประหยัดค่าใช้ไฟฟ้าและลดการเดินสายไฟมาที่แปลง และตั้งเวลานาฬิกาที่ใช้ ปิด-เปิด ระบบควบคุมเฉพาะช่วงเวลา 6.00-20.00 น. เพื่อประหยัดแบตเตอรี่

น.ส.ขนิษฐ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นจากการทดสอบปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่งในกล่องโฟม ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 67 ซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ย 30 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย 58% ทดสอบปลูกผักสลัดสายพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ ผักกาดหอมอิตาลี บัตเตอร์เฮด กรีนคอส เรดคอส กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค ฟินเลย์ รวม 480 ต้น พบว่า ผักมีอัตราการรอดหลังลงปลูกในกล่องโฟม 95 % ได้ผลผลิตรวม 53.7 กิโลกรัม (ไม่รวมน้ำหนักราก) มีน้ำหนักเฉลี่ย 120.30 กรัม/ต้น ซึ่งการปลูกผักสลัดไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่งในกล่องโฟม มีจุดเด่นคือใช้น้ำน้อยมาก ประมาณต้นละ 4-5 ลิตร ไม่ต้องใช้คนงานดูแลมาก โดยระหว่างการลงกล้าปลูกผักในกล่องโฟม จนถึงการเก็บผักเติมน้ำแค่ 2 ครั้ง คือเติมน้ำผสมปุ๋ยราว 2-3 สัปดาห์หลังลงกล้า และเติมน้ำเปล่าอีกประมาณ 4 สัปดาห์หลังลงกล้า และไม่ใช้สารเคมีเลย หากเกษตรกรที่มีโรงเรือนอยู่แล้วต้องการใช้งานระบบควบคุมอัตโนมัติ จะต้องเสียค่าวัสดุทำตู้ควบคุมราคาประมาณ 5,000 บาท และวัสดุสำหรับม่านพรางแสงที่ควบคุมด้วยมอเตอร์ประมาณ 10,000 บาท



โรงเรือนผักอัจฉริยะพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ถือเป็นนวัตกรรมทางด้านเกษตรอัจฉริยะเพราะใช้ทั้งเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ สมองกลฝังตัวและพลังงานแสงอาทิตย์ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทรศัพท์ 0-2940- 5790 และ 089 154 3256

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #เกษตรกร