จู่ๆ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ออกคำสั่งด่วนลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ถึงรองผบ.ตร. จเรตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผบ.ตร.หรือตำแหน่งเทียบเท่า ให้งดเว้นเรียกตำรวจในสังกัดโรงพักทั้งนครบาล ภูธร หรือกองบัญชาการ มาศึกษาดูงาน ฝึกงานหรืออกำชับการปฏิบัติหน้าที่
พลันที่คำสั่งแพร่ออกไปมีการคำถามว่าเกี่ยวข้องกับที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.จะเรียกตำรวจทางภาคอีสานมากำชับการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ?
แต่ผลของคำสั่งสร้างความพึงพอใจให้กับตำรวจเกือบทั่วประเทศ ถึงขั้นแชร์ในโลกออนไลน์ว่า”ตำรวจทั่วประเทศขอกราบท่านต่อด้วยความซาบซึ้งใจ หมดเวร หมดกรรมจริงๆ”
หากมองอย่างวิเคราะห์พออนุมานได้ว่าการบริหารงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความขัดแย้งกันอยู่ลึกๆ แต่ยังสงวนท่าทีไม่ให้เกิดการปะทุที่รุนแรงเพราะยังมีเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะคัดสรร ผบ.ตร.คนใหม่
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแคนดิเดต ผบ.ตร.คนใหม่ เต็ง 1 คือพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อาวุโสอันดับ 1 และ เต็ง 2 คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ อาวุโสอันดับ 2
แต่ห้วงเวลานี้หากวัดกระแสความถูกใจมวลชน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ น่าจะเข้าตามากที่สุด เพราะโชว์บทบาทการทำงานแบบถึงลูกถึงคนได้ใจประชาชนแบบเต็มๆ
ถ้าจับความเคลื่อนไหวช่วงที่ตำรวจโรงพักอรัญประเทศ จับแพะในคดีฆ่าคนตาย สังคมต่างมุ่งวิจารณ์ว่าหัวหน้าโรงพักทำงานไม่เข้มแข็ง ก็ปรากฏภาพของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกตรวจเยี่ยมโรงพักในพื้นที่สมุทรสาคร จนเกิดไวรัล”ขึ้นโรงพักไม่ต้องฝาก ผู้กำกับต้องทำให้ประชาชนชื่อมั่น มีคดีจะได้ไม่ต้องหันไปพึ่งสื่อ เพจ หรือเอ็นฟูลเอ็นเซอร์”
ล่าสุดโชว์ไอเดียว่าจะให้ตำรวจดี 2 มือต้องบาลานซ์กัน คือยกระดับคุณภาพชีวิตตำรวจควบคู่กับการปฏิบัติหน้าที่ให้เข้าถึงใจประชาชน แต่อุปสรรคสำคัญของตำรวจคือเรื่องคุณภาพชีวิต ต้องเข้าใจก่อนว่าเฟืองจักรทำงานจริงๆคือชั้นประทวน รองสารวัตร หากพวกเขาเป็นหนี้ชนิดติดลบ จะเอาพลังที่ไหนไปทำงาน เรื่องสวัสดิการ ความเป็นอยู่ต้องมาก่อน ผู้บังคับบัญชาการจะมานั่งแก้ปัญหาในห้องแอร์ไม่ได้
ส่วนการทำคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะโชว์บทบาทแบบถึงลูกถึงคนคดีไหนที่ชาวบ้านร้องเรียนจะดำเนินการทันที ทำให้ชาวบ้านเกิดความรู้สึกอุ่นใจได้
จึงไม่แปลกที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะเป็นขวัญใจชาวบ้าน แม้แต่ช่วงที่ถูกลดบทบาทไปคุมฝ่ายความมั่นคง ลงไปปฏิบัติงานในต่างจังหวัดจะมีประชาชนเข้าแถวขอถ่ายรูป
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาถูกจังหวะและเวลาบวกกับความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน เลยทำให้ไม่หลุดจากเฟรมข่าว
ทางกลับกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ค่อยจะได้รับการยอมรับจากตำรวจด้วยกันเอง อาจจะเพราะการใช้อำนาจจนเกินเลยหรือไม่ก็สุดจะคาดเดา แต่มีเสียงนินทาจากบรรดาบิ๊กตำรวจว่าถ้าปล่อยบทบาทให้มากเกินไปจะทำให้ตำรวจทั่วไปอยู่ในอาการผวา เพราะด้วยสไตล์แบบกัดไม่ปล่อย รอจังหวะที่จะเอาคืนเสมอ
อดีตบิ๊กตำรวจนายหนึ่งให้ความเห็นว่า หากทำโพลถามประชาชน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะผ่านฉลุย แต่ถ้าทำโพลถามตำรวจจะสอบตกอย่างแน่นอน
ดังนั้นหาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะหวังผงาดชิงเจ้าสำนักปทุมวัน ต้องปิดจุดอ่อนที่มีอยู่ค่อยข้างมากให้สนิท เพราะเมื่อถึงเวลาชิงดำเรื่องฉาวโฉ่ที่ถูกกลบไว้จะถูกงัดขึ้นมาดิสเครดิตแน่นอน
อย่างกรณีอัยการทำหน้าที่ให้คำปรึกษาคดีที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ของมินนี่ ทำหนังสือถึง พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผบ.ตร.ว่าถูกผู้ต้องหาบางคนคุกคาม ถูกปล่อยออกมาชิมลางแล้ว หรือหากใกล้เวลาชิงดำจริงๆอาจจะมีอีกหลายประเด็นหรือหลายคดีถูกปล่อยออกมา ถึงขั้นอาจจะทำให้ขาดคุณสมบัติก็ได้
เพราะการชิงดำ ผบ.ตร.ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว ซึ่งครั้งที่แล้วแคนดิเดตต่างกำไต๋ซึ่งกันและกันไว้ เมื่อถูกชิงลงมือเลยทำให้เสียเปรียบ
แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นการชิงดำระหว่างพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ที่ตำรวจต่างให้การยอมรับและเดินหน้าเก็บแต้มแบบค่อยเป็นค่อยไป และการชิงดำครั้งที่แล้ว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ คือหนึ่งในรายชื่อที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคิดจะเสนอให้ ก.ตร.ลงมติเลือกด้วย
ดังนั้นถ้ามองอย่างวิเคราะห์ในการเดินเกมของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะแคนดิเดตอันดับ 1 เพื่อกรุย
ทางสู่เจ้าสำนักงานปทุมวันในห้วงเวลานี้ น่าจะใช้กลยุทธ์ดึงมวลชนเป็นแนวร่วมน่าจะไม่ผิดนัก
แต่อย่าลืมว่าเกมชิงอำนาจในอาณาจักรโล่เงิน มักอำมหิตเสมอ กว่าจะถึงเวลาชิงดำอาจจะน่วมไปทั้งตัวแล้วก็ได้ !!!